นี่เรากำลังเหงารึเปล่านะ? หรือจริง ๆ เราอาจจะไม่ได้ต้องการใครสักคน เราอาจต้องการแค่พื้นที่ให้ได้ทำสิ่งที่ชอบและมีคนรับฟังเราหรือเปล่านะ?
บทความนี้อยากชวนทุกคนมาสำรวจใจตัวเองในวันแห่งความรักแบบนี้ ว่าด้วยความรักในแบบฉบับคนไม่มีคู่ว่าจริงไหมที่คนไม่มีคู่จะต้องเหงา และทางออกคือการหาใครสักคนมาเติมเต็มเราเท่านั้น?
เคยมีโมเมนต์แบบนี้กันบ้างไหม? “มีเรื่องยินดีก็ไม่รู้ว่าจะไปเล่าให้ใครฟัง วันหยุดก็ไม่รู้จะใช้เวลาไปทำอะไรดี ฟังเพลงรักก็อยากจะส่งให้ใครซักคนฟังคนจะแย่”
แต่จะทำยังไงล่ะ ถ้าการหาใครสักคนไม่ได้ง่ายขนาดนั้น และเราก็ไม่ได้อยากมีใครสักคนแค่เพื่อแก้เหงา ให้เขามาคอยรับฟังความรู้สึกเราอย่างเดียว?
ในโลกนี้ยังมีพื้นที่และผู้คนมากมายที่รอเติมเต็มให้กับเราและรอให้เราไปเติมเต็ม หากคุณกำลังรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ สิ่งหนึ่งที่มักจะช่วยบรรเทาความเหงา ประโลมจิตใจของเราได้คือ การออกไปพบปะผู้คนใหม่ ๆ ในสถานที่หรือกิจกรรมที่เราชอบเพื่อสร้างการเชื่อมโยงทางสังคมกับผู้อื่น
สถานที่ที่เราจะออกไปพบผู้คนใหม่ ๆ หรือเป็นที่พักใจให้เราได้ในพื้นที่เมืองที่เราอยู่ถูกนิยามผ่านทฤษฎี Third Place โดย Ray Oldenburg นักสังคมวิทยาชาวอเมริกันในหนังสือของเขาชื่อ The Great Good Place (1989) ที่พูดถึงพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจอันเป็น “พื้นที่ที่สาม” ในชีวิตของคนเรา นอกเหนือจากสถานที่แรกอย่างบ้าน (First place) และสถานที่ที่สองอย่างที่ทำงาน/โรงเรียน (Second place) ที่เราคลุกคลีทุกวันและเต็มไปด้วยหน้าที่ ความกังวล ความรับผิดชอบที่จำเจ
Third Place มักเป็นสถานที่แบบไหนก็ได้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบ หน้าที่ที่เราต้องพบเจอในชีวิตประจำวัน และในขณะเดียวกัน พื้นที่เหล่านั้นมักอนุญาตให้เราได้เป็นตัวเอง ปล่อยวางความเครียดทั้งหลาย แสดงออกในสิ่งที่เราสนใจได้อย่างไม่ต้องกังวล และถูกโอบรับอย่างไม่เลือกปฏิบัติ

Third place–ไป ที่ชอบ ๆ ในเมือง
หลายเมืองทั่วโลกได้พัฒนา Third place ผ่านการสร้างพื้นที่สาธารณะ เช่น สวนสาธารณะขนาดใหญ่, ทางเดินริมทะเลหรือพื้นที่ใกล้ชิดธรรมชาติ ไปจนถึงห้องสมุดสาธารณะที่ให้ผู้คนใช้บริการได้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ทำให้ผู้คนได้ออกมาพบปะ พูดคุย พักผ่อน และทำกิจกรรมผ่อนคลายได้ เช่น การออกกำลังกาย การทำกิจกรรมแบบกลุ่มย่อย การจัดวงพูดคุย การจับจ่ายใช้สอยกับตลาดร้านค้าในท้องถิ่น
เช่น เมืองเมลเบิร์น (Melbourne) ในออสเตรเลีย ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูง และมีประชากรที่มาทำงานและอาศัยอยู่ในเมืองนี้หลากหลายเชื้อชาติ เมลเบิร์นได้ใช้พื้นที่เหล่านี้ในการแก้ปัญหาลดความโดดเดี่ยวของผู้คน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มชาวต่างชาติ โดยการเข้าถึงพื้นที่สาธารณะเหล่านี้ได้จะช่วยเพิ่มความเชื่อมโยงทางสังคม ลดความรู้สึกแปลกแยกได้
มีการสนับสนุนพื้นที่ทางศิลปะและวัฒนธรรมที่มีพิพิธภัณฑ์ National Gallery of Victoria (NGV) อันเป็นแหล่งศิลปะและวัฒนธรรมที่สำคัญ หรือ Australian Centre for the Moving Image สถาบันภาพยนตร์ของออสเตรเลีย (ACMI) ที่มักจะมีนิทรรศการฟรีให้เข้าชม
รวมถึงการเพิ่มพื้นที่สวนสาธารณะให้คนเข้าถึงได้และสามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกาย, การปั่นจักรยาน, การเดินเล่น หรือการทำโยคะกลางแจ้ง นอกเหนือจากการช่วยให้เกิดพื้นที่พักผ่อน ยังเป็นการสนับสนุนวิถีชีวิตชาวเมลเบิร์นให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้นด้วย

Third Place สถานที่ที่เพอร์เฟคพอจะให้เจอคนสักคนที่ตรงใจ
หากเป็นในหนังรักโรแมนติก เราคงได้เจอใครสักคนในพื้นที่ Third Place เหล่านี้ไปแล้ว แต่ อ๊ะ อ๊ะ อย่างน้อย ๆ ในชีวิตจริง เราก็มีโอกาสที่จะเจอ “ใครสักคน” ที่ไม่ใช่แค่เฉพาะที่แปลว่าแฟนหรือคนที่เราจะพัฒนาไปในความสัมพันธ์แบบคู่รักอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงเพื่อน คนในคอมมูนิตี้ต่าง ๆ ที่จะเป็นคนที่เราคอยแลกเปลี่ยนความชอบ ความสนใจ หรือคอยทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยได้
อย่างที่บอกว่าด้วยความเหงามักเกิดจากความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ไม่ถูกเชื่อมโยงกับผู้คนในสังคม หรือความรู้สึกเช่นว่า ‘เราเป็นใครก็ไม่รู้ในที่นี้’ หรือกับเพื่อนที่ทำงาน เราก็อาจ ‘คุยกันคนละภาษา’ (ชนิดที่ว่า เอ้อ! เราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันน่ะ คงดีแล้ว) หรือกับคนในครอบครัวเอง ครั้นจะคุยเรื่องศิลปินที่เราสนใจ ชวนพ่อแม่มาคุยเรื่องสิ่งแวดล้อม ศิลปะ ฟุตบอล แบบที่เราอยากคุย ก็อาจจะไม่ใช่ทุกบ้านที่จะมีบทสนทนาแบบนั้นได้ สุดท้ายแล้ว ทางออกคือการไปหา “พื้นที่ที่สาม” ที่มีผู้คนที่มีความสนใจแบบเดียวกับเราให้เราได้แลกเปลี่ยนด้วย
ร้านหนังสือ-บาร์-คาเฟ่-อะไรอีกดีล่ะ?
สถานที่ที่เรามักจะได้เห็นมากขึ้นและถูกสร้างขึ้นเพื่อ ‘สนองนี้ด’ เจ้าของและช่วยเติมเต็มผู้ไปเยือนได้มากขึ้นก็คือ “ธุรกิจแบบเฉพาะทาง” ที่มุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่ความชอบหรือความสนใจของผู้คนเฉพาะกลุ่มมากกว่าตลาดหลัก (Niche Market) อาทิ ร้านหนังสืออิสระ ที่แม้ในปัจจุบันจะมีจำนวนไม่มากและธุรกิจสิ่งพิมพ์กำลังถูกท้าทายด้วยสื่อออนไลน์ แต่ในแง่การประกอบร่างทางสังคม ร้านเหล่านี้ยังคงทำหน้าที่ ‘สร้างชุมชน เป็นที่รวมคนตัวของที่มีความสนใจเดียวกัน’ ทั้งไม่ว่าจะผู้เขียน ผู้อ่าน ผู้ที่สนใจเรื่องราวในแวดวงนั้น จนกลายเป็นวงสนทนาที่หาไม่ได้ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน
ร้านหนังสืออิสระหลายแห่งนี้ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียง ‘ร้านขายหนังสือ’ เท่านั้น หากแต่เป็นพื้นที่กลางในการจัดกิจกรรม เช่น วงเสวนาการเมือง เวิร์คช็อปงานศิลปะ นิทรรศการภาพถ่าย ภาพวาดที่สื่อสารประเด็นทางสังคม ฯลฯ ซึ่งในทางหนึ่ง กิจกรรมที่จัดเหล่านี้ก็เหมือนเป็นการเลือกคนที่แวะเวียนเข้ามาในสถานที่นี้ตามลักษณะความชอบที่ตรงกับร้าน และเหมือนเป็นการจำกัดกลุ่มคนที่มีความสนใจที่ตรงกัน
นอกเหนือจากการได้สร้างการเชื่อมโยงทางสังคม สิ่งเหล่านี้ยังทำให้ผู้คนได้รู้สึกถึง ‘การมีอยู่’ ของตัวเองมากขึ้น จากการได้เข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีคนรับฟัง มีคนสนใจในแบบเดียวกับที่เราสนใจ ไปจนถึงการช่วยสร้างไอเดียบรรเจิดที่อาจจะเกิดจากบทสนทนาที่แลกเปลี่ยนกับคนใหม่ ๆ ด้วย

โดดเดี่ยวด้วยกัน
อย่างที่รู้ว่ากันว่า ‘ความเหงา’ นั้นเป็นภัยต่อสุขภาพจิตและร่างกาย จนถึงขั้นที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้ความเหงาเป็นประเด็นทางสุขภาพที่สำคัญของโลก เพราะมวลพลังลบเหล่านี้อาจนำเราไปสู่ปัญหาทางกายและสุขภาพจิต แต่สุดท้ายแล้ว มนุษย์ทุกคนอาจไม่จำเป็นต้องมีคู่หรือใครสักคนเพื่อแก้ปัญหาความเหงาของตัวเองเสมอไป นั่นอาจไม่ใช่เพียงทางออกเดียวที่จะแก้ปัญหาความโดดเดี่ยว ในเมื่อบางคนอยู่ตามลำพังได้โดยที่ไม่รู้สึกเหงา หรือบางคนก็ชอบที่จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายเพื่อไม่ให้รู้สึกเหงาได้เช่นกัน
หากเมืองเราเต็มไปด้วย ‘พื้นที่แห่งความสบายใจ’ ที่ให้ผู้คนเข้าถึงได้ มีพื้นที่ที่เราได้ใช้เวลาไปแบบเรื่อยเปื่อย ชนิดที่ว่า ‘นั่งเฉย ๆ ก็สบายใจ’ หรือจะสถานที่ที่ให้เราได้ไปเจอวงโคจรใหม่ ๆ ที่เป็นความสบายใจได้เสมอ สุดท้ายแล้ว ‘การต้องหาใครสักคน’ ก็อาจไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป หากเรามีสภาพแวดล้อมและผู้คนแวดล้อมที่ดี
หลังอ่านบทความนี้จบลง เราอยากชวนทุกคนมาสำรวจ ทำความเข้าใจ ‘เจ้าความรัก’ ในแบบของตัวเองกัน หากิจกรรมที่รัก สถานที่ที่ชอบ พื้นที่แบบไหนที่ดีต่อใจของเรา หาสิ่งที่ดีต่อใจเหล่านั้นให้เจอแล้ววางความกังวลและภาระบนบ่าลง พาตัวเองออกไปเจอสถานที่ใหม่ ๆ ที่อนุญาตให้เราได้ผ่อนคลายและเป็นตัวเองกันเถอะ!