หายใจเข้าพุธ หายใจออกพฤหัส หายใจเข้าศุกร์ หายใจออกอีกทีวันจันทร์แล้ว
เสาร์อาทิตย์มันมาไวไปไวสุด ยังไม่ทันหายใจได้ทั่วท้องน้องก็ต้องลุยต่ออีกแล้ว
หรือว่านี่คือพลังของโซเชียลมีเดียที่ทำให้เราเข้าใจไปว่า ชีวิตต้องดำเนินไปอย่างรวดเร็ว จนตัวเราหลุดเข้าไปสู่วงเวียนของการบริโภคอย่างต่อเนื่อง นิ้วโป้งที่เคยใช้ชูว่าเยี่ยม กลายเป็นเครื่องมือในการใช้ไถคลิปแล้วคลิปเล่าบน TikTok รู้สึกกันบ้างไหมหรือว่าเราเหมือนถูกเสิร์ฟอะไรบางอย่างให้กินอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เรารู้สึกอิ่มแล้ว
สกู๊ปนี้ขอชวนทุกคนหยุดพัก หายใจลึกๆ หายใจเข้าพุธ หายใจออกก็ยังพุธอยู่ และมาทำความรู้จักกับแนวคิด Slow Living อีกครั้ง โดยผมจะขอเล่า ผ่านการแนะนำสถานที่ที่ชื่อว่า Slowcombo คอมมิวนิตี้สเปซในสามย่าน
Slowcombo คืออะไร ?
ก่อนอื่นมากินวุ้นแปลภาษากันสักหน่อย คำว่า Slow แปลว่า ช้า ซึ่งในบริบทนี้คือการทำอะไรอย่างช้าๆ ค่อยเป็น ค่อยไป ส่วนคำว่า Combo คือการรวมตัวของซัมติง นำสองคำนี้มาต่อกันจึงตีความได้ว่า มันคือการรวมตัวของคนที่ชอบและสนใจสิ่งคล้ายกัน มาสโลว์ดาวน์ ใช้ชีวิตให้ช้าลงในสเปซนี้
สเปซนี้ก่อนหน้านี้เคยเป็นโรงหนังสามย่านมาก่อน แล้วก็กลายมาเป็นตึกเรียกของจุฬา ก่อนจะเปลี่ยนผ่านมาเป็น Slowcombo ซึ่งนิยามตัวเองว่าเป็น Mindfulness Playground และมีเป้าหมายง่ายๆ ว่า อยากให้ทุกคนได้เจอสมดุลในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ภายในพื้นที่จึงมีกิจกรรมหลากหลาย มีออปชั่นร้านอาหาร และร้านค้าให้ทุกคนได้เลือกบริโภค ซึ่งสิ่งที่เรามองว่าเป็นจุดสำคัญคือการความหลากหลายของร้านค้า กิจกรรม และราคาที่เข้าถึงได้
พักหลังๆ เรามาสังเกตว่าแนวคิด Slow Living หรือ Slow Life ถูกนำมา กลายมาเป็นเครื่องมือการตลาดของแบรนด์ และเป็นแบรนดิ้งให้กับ Influencers ไปเสียอย่างนั้น โดยถูกทำให้ดูเหมือนว่าจะ Slow Life ยูจะต้องหรูหรา จะต้องไปซื้อบ้านพักตากอากาศในต่างจังหวัด ต้องมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ ต้องติด Glam ทั้งที่จริงๆ แล้ว แนวคิดนี้เป็นคอนเซปต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ เพราะมันเป็นปรัชญาที่เริ่มต้นจากกลุ่มคนที่ต้องการสวนทางกับความเร่งรีบและการบริโภคที่มากเกินไปโดยไม่จำเป็น เป็นแนวคิดที่ชวนให้ทุกคนอยู่กับปัจจุบัน และเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่และใช้มันให้คุ้มค่าที่สุดมากกว่า
การใช้ชีวิตที่ช้าลง ไม่ได้อยู่ที่สถานที่หรือสิ่งของ แต่อยู่ภายสติในการใช้ชีวิตของเรา ดังนั้นระวัง Slow Life Washing กันด้วยนะทุกคน (ไม่แน่ใจว่าเขามีนิยามนี้กันหรือยัง)
Slowcombo ทำไม ?
พื้นที่นี้ได้รับการออกแบบอย่างใส่ใจต่อสภาพแวดล้อม โดยพยายามคงสภาพเดิมไว้ให้ได้มากที่สุด ไม่ต่อเติมโดยไม่จำเป็น หากได้ก้าวเข้าไปจะรู้สึกถึงบรรยากาศเย็นๆ จากความเป็นปูนเปลือย นอกจากนี้ยังออกแบบก็มีที่ให้นั่งเล่นเยอะ ด้วยความที่มีน้องๆ นักศึกษามาใช้เป็นพื้นที่แฮงค์เอ้าท์ หรืออ่านหนังสือสอบจำนวนมาก
Slowcombo เป็นสเปซที่ส่งเสริมในการเกิดการบริโภคอย่างมีสติและมีทางเลือกที่ยั่งยืนเป็นมิตรต่อธรรมชาติมากขึ้น พื้นที่ถูกแบ่งออกเป็น 3 ชั้น โดยแต่ละชั้นก็จะมีคอนเซปต์ที่แตกต่างออกไปในช่วยสร้างความสมดุลด้านต่างๆ
(ชั้น 1) Eat Wisely – พื้นที่นี้เน้นที่ความรู้ด้านอาหาร ให้ทุกคนรู้จักทางเลือกอาหารทางเลือกที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำความเข้าใจว่าอาหารมาจากไหนและทางเลือกของเราส่งผลกระทบต่อโลกอย่างไร
ไฮไลท์ของชั้นนี้คือเขามี Co-Cafe Space เป็นพื้นที่คาเฟ่ที่ให้เช่าระยะสั้นๆ เปิดโอกาสให้ร้านค้าใหม่ที่ขายออนไลน์มาตลอด ได้มาลองมีหน้าร้านกับเขาดู ว่าจะเป็นยังไง ซึ่งหากจำไม่ผิดร้านแรกที่ได้มาเจิมคือ Mamafu ในช่วงปี 2023 ที่สเปซนี้ปิดแรกๆ ซึ่งตอนนี้ร้านนี้มูฟเข้าสยามพารากอนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



(ชั้น 2) Live Soulfully – ชั้นนี้นำเสนอสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น Regrow ร้านค้าที่ให้บริการ Refill และมีสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้เลือกช้อป หรือจะเป็น Energy Space ที่เต็มไปด้วยกิจกรรมเพื่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต เช่น โยคะ ซาวน์ฮีลลิ่ง
ชั้นนี้มีร้านดอกไม้อีโค่ชื่อว่า Malibarn ด้วย เป็นร้านดอกไม้ที่ส่งมาจากชุมชนในเชียงใหม่ ที่มีคอนเซปต์ Slow Flower หรือคือการทำให้ดอกไม้เติบโตด้วยธรรมชาติของมันเอง ไม่ใช้สารเคมีในการเร่งการเจริญเติบโตหรือทำให้สีสด เป็นการทำให้ดอกไม้ได้โตในจังหวะและเวลาของตัวมันเอง


(ชั้น 3) Move Creatively – เป็นพื้นที่กิจกรรมเปิดโล่งที่ออกแบบมาสำหรับการรวมตัวของชุมชน เวิร์กช็อป และการทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นพื้นที่สนามเด็กเล่นให้กับทุกคนในการพักผ่อน และหาสมดุลให้กับตัวเอง
Slowcombo ยังไงอีก ?
Slowcombo มีมิติที่ใส่ใจด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน พื้นที่นี้ยึดเอาหลัก SDGs มาใช้ในการออกแบบและสร้างพื้นที่นี้ขึ้นมา แสดงให้เห็นว่าถึงแม้จะเป็นคอมมิวนิตี้สเปซก็สามารถสร้าง Commitment ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนได้ สิ่งที่น่าประทับใจในยุคนี้คือความโปร่งใสและการเข้าถึงได้ของข้อมูล ซึ่งหากใครที่ได้ติดตาม Social Media ของ จะเห็นว่าเขามีการรายงานปริมาณขยะที่เกิดขี้นและขยะที่เขาจัดการด้วย โดยส่วนนี้เขาร่วมกับ GEPP ในการติดตามและบันทึกสถิติขยะที่เกิดขึ้นในพื้นที่
หน้าบ้านก็มีถังขยะให้ทุกคนได้แยก ส่วนหลังบ้านก็จะมีโซนที่เขานำขยะไปแยกรวบรวมเก็บเอาไว้ เมื่อได้ปริมาณที่พอเหมาะก็จะส่งต่อให้ทาง ‘Recycle Day’ มารับเอาไปจัดการต่ออย่างถูกวิธี
โดยส่วนตัว เราเข้าใจว่า การจะใช้ชีวิตให้ช้าลงในกระแสสังคมปัจจุบันเป็นอะไรที่ท้าทายและอาจทำได้ยาก เราเหมือนถูกระบบอะไรสักอย่าง เสิร์ฟอะไรสักสิ่งมาให้เราตลอดเวลา ทำให้เราไม่รู้สึกว่าเราควรจะหยุดวิ่งนิ่งพัก แต่ต้องสปริ้นต์อย่างสุดแรงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะด้วยโซเชียลมีเดียที่ขยันส่งคอนเทนท์คนที่ประสบความสำเร็จ คนที่มีชีวิตดี มาให้เรากดดันตัวเองแบบเล่นๆ (หรือแบบจริงๆ)
หรือด้วยความคาดหวังของใครก็ไม่รู้ที่เราสร้างขึ้นมา ความกังวลที่ผุดขึ้นมากับการหายใจเฮือกใหญ่แต่ละครั้ง เราขอเป็นหนึ่งสติเล็กๆ ที่แว้บมาบอกทุกคนว่า ‘This Too Shall Pass’ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันจะผ่านไปครับ
มันอาจจะเป็นประโยคเดิมๆ ที่ทุกคนเคยเห็นกันแล้ว แต่ทุกคนมีจังหวะเวลาของตัวเอง ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องร้อน ไม่ต้องวิ่งสปริ้นต์ แต่มาวิ่งมาราธอน หรือเดินจ๊อกกิ้งกันเถอะครับ อาจจะไม่ถึงเส้นชัยได้ไว แต่เชื่อว่าเราจะเอ็นจอยเส้นทางของเรามากขึ้นครับ (อันนี้ก็บอกตัวเองด้วยเช่นกัน)
จากบทความแนะนำ Slowcombo กลายมาเป็น บทความ Life Coach ได้ยังไง (ฮ่าๆ) ถือโอกาสปิดท้ายชวนให้ทุกคนมาลองใช้ชีวิตที่ช้าลง มีสติอยู่กับปัจจุบันให้มากขึ้น มาช่วยกันลดการบริโภคเกินจำเป็น เพื่อเป็นสัญญาณว่าโลกไม่ได้จำเป็นต้องรีบ ไม่ต้องผลิตอะไรมาเยอะแยะก็ได้