ชนพื้นเมือง ‘เมารี’ คือใคร กำลังได้รับผลกระทบอะไรจากกฎหมายใหม่ในนิวซีแลนด์?
ก่อนหน้านี้มีคลิปวิดิโออันเดือดดาลในรัฐสภานิวซีแลนด์ที่กลายเป็นไวรัลและถูกพูดถึงบนอินเตอร์เน็ต เมื่อฮานา ฮาวฮิตี ไมปี คลาร์ก (Hana-Rawhiti Maipi-Clarke) สมาชิกผู้แทนราษฎรชาวเมารี จากพรรคเตปาติเมารี (Te Pāti Māori) ได้ลุกขึ้นประท้วงกลางสภา เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับการลงมติแก้ไขกฎหมายที่จะกระทบต่อสิทธิของชาวเมารี โดยเธอได้ฉีกร่างกฎหมายในมือทิ้งพร้อมลุกออกมาแสดง “ฮากา” ท่าเต้นตามประเพณีเมารี ก่อนที่จะมี ส.ส. อีกหลายคนที่เห็นด้วยลุกออกมาระบำตาม
แล้วชนพื้นเมืองเมารีคือใคร? กฎหมายอะไรในนิวซีแลนด์ที่กำลังส่งผลกระทบต่อพวกเขา?
ชาวเมารีคือใคร?
ชาวเมารี (Maori) ถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองในนิวซีแลนด์ โดยพวกเขาเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองที่กระจายอยู่ในหมู่เกาะแถบโพลีนีเซีย กล่าวคือทางตอนกลางและตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิปิกไปจนถึงออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
พวกเขามีวัฒนธรรมหลายอย่างที่เป็นที่รู้จักเช่น การเต้นฮาก้า (Haka) , การแกะสลักวาไกโร (Whakairo) บนหิน ไม้ เพื่อบันทึกเรื่องราว บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ และทาโมโกะ (Tāmoko) รอยสักบนใบหน้าที่แสดงถึงสถานะ บทบาททางสังคม และอัตลักษณ์ของพวกเขา
โดยชาวเมารีส่วนหนึ่งได้ตั้งรกรากอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์มาช้านาน ก่อนที่จะมีชาวยุโรปเข้ามาติดต่อครั้งแรกช่วงศตวรรษที่ 16-17 และเกิดการผสมผสานในสังคมมากขึ้น
จุดเริ่มต้นจากยุคจักรวรรดินิยมสู่การอยู่ร่วมกันของชาวเมารี-คนขาว
หลังการค้นพบเกาะนี้โดยชาติตะวันตกในยุคล่าอาณานิคม การติดต่อค้าขายก็นำไปสู่การตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรปในนิวซีแลนด์ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 แม้จะมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและความรู้ตะวันตกกันอย่างแพร่หลาย แต่ก็มีสิ่งที่ชาวเมารีไม่คุ้นเคยและรับมือไม่ทันอย่าง “เชื้อโรค” ตามมา เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้ทรพิษ โรคหัด ที่ทำให้ชาวเมารีเสียชีวิตกว่า 10-50% จนทำให้ประชากรชาวเมารีลดลงอย่างมาก
ในปี 1840 มีการลงนามเพื่อการแบ่งอำนาจระหว่างผู้นำชนเผ่าเมารี 450-500 คน กับราชวงศ์อังกฤษใน สนธิสัญญาไวทังกิ (Waitangi) ที่เนื้อหาระบุถึงการแบ่งอำนาจ รับรองสิทธิในทรัพย์สินและการปกครองตนเองของชนเผ่าเมารี เพื่อแลกกับการยอมรับอำนาจอธิปไตยของอังกฤษ และการผนวกนิวซีแลนด์เป็นอาณานิคมในจักรวรรดิอังกฤษ
ซึ่งหลังจากการลงนามก็ยังมีก็ยังมีการปะทะและเหตุการณ์ความรุนแรงอยู่เรื่อยมา เช่น Wairau Affray จากความขัดแย้งในที่ดินที่นำไปสู่สงครามนิวซีแลนด์ระหว่างอังกฤษและชาวเมารีที่สู้กันหลายสิบปี
รวมถึงช่วงหลายปีหลังการลงนามสนธิสัญญา ได้มีข้อพิพาทว่าภายในสนธิสัญญาไวทังกิอาจมีการแปลเนื้อหาภาษาที่ต่างกันจนทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เช่น ฉบับภาษาเมารีไม่ได้มีข้อความเรื่องการสละอำนาจอธิปไตยให้กับราชวงศ์อังกฤษ จนเกิดเป็นคดีความ และในปี 1975 รัฐสภาได้ตราพระราชบัญญัติสนธิสัญญาไวทังกิขึ้น เพื่อจัดตั้งศาลที่รับพิจารณาข้อเรียกร้องและการชดเชยจากความผิดพลาด โดยศาลระบุว่า “หลักการของร่างกฎหมายตีความสนธิสัญญาไวทังกิผิด และก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อชาวเมารี”
รัฐบาลจึงต้องชดใช้ค่าเสียหายหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐจากความเสียหายที่ผ่านมาที่ทำให้ชาวเมารีขาดสิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ เช่น สิทธิเหนือที่ดิน การใช้ป่าไม้ ทำประมง เป็นต้น รวมถึงในปี 2008 รัฐบาลก็เสนอข้อตกลงมูลค่ากว่า 900 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ เพื่อดำเนินการชดเชยเกี่ยวกับข้อตกลงด้านที่ดิน
นับตั้งแต่ปี 1840 จนถึงปัจจุบัน แม้สนธิสัญญาไวทังกิจะไม่ได้ถูกบรรจุในกฎหมายโดยตรง แต่ก็จำเป็นต้องคำนึงถึง “หลักการ” เหล่านี้ในกฎหมาย อันได้แก่
– รัฐบาลมีสิทธิในการปกครอง และรัฐสภามีสิทธิเต็มที่ในการตรากฎหมาย
– สิทธิของชาวเมารีได้รับการเคารพจากราชวงศ์อังกฤษ
– ทุกคนเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมายและมีสิทธิได้รับความคุ้มครองเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย
ร่างกฎหมายใหม่นี้กำลังละเมิดสิทธิของชาวเมารีอย่างไร?
หลักการข้างต้นดูเหมือนจะกลายเป็นความคลุมเครือ เมื่อรัฐบาลใหม่นิวซีแลนด์ปัจจุบันที่นำโดย National Party มีแผนทบทวนแก้ไขหลักการสนธิสัญญาไวทังกิอีกครั้ง ประกอบกับการปรับเปลี่ยนกฎหมายบางตัว ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับชาวเมารีและกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วย เช่น การปิด Te Aka Whai Ora หน่วยงานดูแลด้านสาธารณสุขของชาวเมารีที่ตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ และการประกาศนโยบายเปลี่ยนชื่อหน่วยงานจากภาษาเมารีมาเป็นภาษาอังกฤษ ไปจนถึงการปรับ “โควตาทางชาติพันธุ์ในสถาบันภาครัฐ”
ซึ่งพรรค Act พรรคร่วมรัฐบาลที่เสนอกฎหมายนี้มองว่านโยบายที่มีนั้นออกแบบมาเพื่อยกระดับชีวิตชาวเมารี แต่กำลังทำให้ประชากรคนอื่น ๆ เสียเปรียบ และกำลังกลายเป็นการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ
ซีเมอร์ จากพรรค Act ยังระบุว่า หลักการเหล่านี้ไม่เคยถูกตีความทางกฎหมายอย่างจริงจัง จึงเป็นเรื่องที่ควรหยิบเอามาตีความใหม่ใต้กฎหมายไม่ใช่ศาลเพื่อให้เกิดหลักสิทธิเท่าเทียมที่มากขึ้นได้
ในขณะที่ความเห็นของชาวเมารีและผู้สนับสนุนมองว่า ร่างนี้กำลังทำลายสิทธิของชนพื้นเมือง และกำลัง “ละเมิด” หลักการของสนธิสัญญาไวตังกิอย่างจงใจที่จะไม่ปรึกษาหารือกับชาวเมารี ทำลายหลักการ ซึ่งการตีความที่ผิดเช่นนี้อาจนำไปสู่ความไม่ยุติธรรมที่จะเกิดขึ้นต่อชาวเมารีได้
แต่ทั้งนี้ พรรครัฐบาล National Party และ พรรคร่วม New Zealand First ระบุว่าพวกเขาจะโหวตสนับสนุนร่างนี้เพียงครั้งแรกจาก 3 ครั้งเท่านั้น และจะไม่สนับสนุนร่างนี้ในการโหวตครั้งที่ 2 และ 3 แน่นอน และมองว่านี่คือร่างกฎหมายที่กำลัง “สร้างความแตกแยก” ให้กับนิวซีแลนด์
นอกจากเรื่องของกฎหมาย ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา วัฒนธรรมเมารียังถูกทำให้กลืนไปกับวัฒนธรรมตะวันตกที่เข้ามากับประชากรยุโรปผ่านข้อบังคับทางกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติโรงเรียนพื้นเมือง ปี 1867 ที่ห้ามพูดภาษาเมารีในโรงเรียน, พระราชบัญญัติปราบปราม Tohunga ปี 1907 ที่แทนที่หมอพื้นบ้านด้านจิตวิญญาณด้วยแพทย์ตะวันตก ก่อนที่วัฒนธรรมเมารีจะถูกกลับมาฟื้นฟูอีกครั้งในช่วงทศวรรษ 1970
ในภาวะที่หลายมหาอำนาจทั่วโลกกำลัง “หันขวา” สถิติการลงคะแนนเลือกตั้งทั้งสหรัฐฯ และหลายประเทศในยุโรปช่วงที่ผ่านมาทำให้เราเห็นว่า ผู้คนอาจหันมาคำนึงถึงปากท้องและปัญหาเศรษฐกิจมากขึ้น เบื่อหน่ายผู้ลี้ภัยและสงครามมากขึ้น แต่ให้ความสำคัญกับประชากรรองน้อยลง จนกลายเป็นปรากฏการณ์ที่พรรคฝ่ายขวาชนะเลือกตั้งและเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในหลายประเทศ
นี่จึงเป็นที่น่าจับตามองว่า นิวซีแลนด์ที่พรรคแรงงานขั้วซ้ายกลาง แชมป์เก่าพ่ายการเลือกตั้งเมื่อ 2023 ไป และพรรค National Party ชนะการเลือกตั้ง ขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรค New Zealand First และพรรค Act จนกลายเป็นขั้วกลางเอนขวานี้ จะหันหลังให้กับชนพื้นเมืองในประเทศด้วยหรือไม่ และจะมีที่ท่าในการจัดการกับสังคมแบบพหุวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันอย่างไร
อ้างอิง
https://deadlystory.com/page/culture/articles/World_s_Indigenous_Peoples_Day/Maori_people