ลูซี่ หนึ่งในฟอสซิลที่สำคัญที่สุดของโลกวิทยาศาสตร์ 50 ปีแล้วที่ ‘ป้าลูซี่’ ได้ให้ความรู้แก่มนุษยชาติเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์เรา และนี่คือเรื่องราวของเธอ
เมื่อประมาณ 3.2 ล้านปีที่แล้ว ในป่ายุคก่อนประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งที่ที่ปัจจุบันคือประเทศเอธิโอเปีย สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งตายลงและถูกฝังกลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าอะไรทำให้สิ่งมีชีวิตตัวนั้นตาย บางทีอาจเป็นเพราะตกจากต้นไม้ก็ได้
แต่รอยฟันของสัตว์กินเนื้อที่สะโพกบ่งบอกว่าอย่างน้อยร่างนั้นก็ยังถูกกัดแทะหลังจากที่ตายไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตะกอนก็ได้ปกคลุมร่างกายและรักษาส่วนต่าง ๆ เอาไว้อย่างยอดเยี่ยม ต้องใช้โชคขนาดไหนที่ร่างนั้นจะอยู่รอดผ่านมาได้ถึง 3 ล้านปี และยิ่งกว่าต้องโชคดีจนนักวิทยาศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ปัจจุบันขุดพบ
ท้ายที่สุดมันกลายเป็นการค้นพบฟอสซิลครั้งสำคัญของโลกที่รู้จักกันในชื่อ ‘ลูซี่’ ซึ่งชื่อทางวิทยาศาสตร์จริง ๆ ก็คือ AL 288-1 แม้โครงกระดูกนี้จะไม่ได้เป็น ‘คนแรก’ ของกลุ่มสายพันธุ์ Australopithecus afarensis ที่เป็นญาติของโฮโม เซเปียนส์ที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 3.9-2.9 ล้านปีก่อน แต่ ‘เธอ’ ก็ได้ให้ความรู้มากมายเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์
“ลูซี่เป็นหนึ่งในฟอสซิลกลุ่มแรก ๆ ที่โด่งดัง ทุกคนรู้จักและรักลูซี่” Lydia Pyne นักประวัติศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ กล่าว “เธอออกจากเอธิโอเปียพร้อมกับชื่อเล่นนั้น” ซึ่งถูกตั้งตามชื่อเพลง Lucy in the Sky with Diamonds ของเดอะบีเทิลส์
การค้นพบลูซี่
เรื่องมันเริ่มจากการที่กลุ่มอาณานิคมได้เข้าสำรวจพื้นที่แอฟริกาตะวันออก และค้นพบฟอสซิลของ A. afarensis ตั้งแต่ปี 1939 แต่ปัญหาก็คือนักธรรมชาติวิทยาไม่รู้ว่าพวกเขากำลังดูอะไรอยู่ มันเป็นกระดูกมนุษย์ยุคแรกหรือเป็นโฮมินินกันแน่ ซึ่งความงุนงงเหล่านี้ไม่เคยถูกอธิบายอย่างเป็นทางการเลย
ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่น่าเศร้าก็คือมันเป็นช่วงเวลาที่สาขามานุษยวิทยายังคงได้รับอิทธิพลอย่างรุนแรงจากแนวคิดเหยียดเชื้อชาติ ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญในขณะนั้นจึงมองข้ามฟอสซิลจากทวีปแอฟริกาชิ้นนี้ และเลือกที่จะสนใจฟอสซิลมนุษย์จากยุโรปและเอเชียมากกว่า
“ความสำคัญของการค้นพบในช่วงแรก ๆ นั้นไม่ได้ให้ความสำคัญที่เพียงพอ” Ashley Hammond นักมานุษยวิทยาโบราณซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทีม Human Origins Program กล่าว ดังนั้นแม้โลกจะค้นพบญาติ ๆ ของลูซี่ แต่ทุกคนก็ไม่ได้อยากจะทำความรู้จักครอบครัวนี้มากเท่าไหร่
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป นักมานุษยวิทยาโบราณก็เริ่มตระหนักได้ว่าพวกเขาต้องฟอสซิลเพิ่มเติม เพราะสิ่งที่ค้นพบนั้นไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างของข้อมูลได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่า Australopithecus afarensis ที่ดูเหมือนจะมีหลายสายพันธุ์
พวกเขาเหล่านั้นยืนสองขาและเดินตรงได้ ทว่าก็ยังมีลักษณะบางอย่างที่ยังดูเหมือนลิงอยู่เช่นกะโหลกศีรษะและแขนขา ซึ่งตำแหน่งที่จะเติมเต็มข้อมูลได้น่าจะอยู่ที่แอฟริกาตะวันออก ที่ที่พวกเขาละเลยฟอสซิลจากผืนดินแห่งนั้นมาอย่างยาวนาน
การค้นพบเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 1973 ทีมที่นำโดย Maurice Taieb, Donald Johanson และ Yves Coppens พบกระดูกข้อเข่าที่บ่งชี้ว่าเจ้าของชิ้นส่วนนั้นเดินตรง มันชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ (หรือบรรพบุรุษของมนุษย์) นั้นเดิน 2 ขาเร็วกว่าที่เคยคิดกันมา ปีถัดมาพวกเขาก็ค้นพบ AL 288-1 ในที่สุดลูซี่ก็เผยโฉมต่อโลกพร้อมกับกระดูกอีกหลายร้อยชิ้น
“นี่คือกลุ่มผู้ใหญ่จำนวนมากและเด็กไม่กี่คนที่เสียชีวิตในช่วงเวลาเดียวกัน” Hammond กล่าว

Photo: Radosław Botev/wikipedia
เรียนรู้จากลูซี่
เมื่อฟอสซิล AL 288-1 และ AL 333 (กระดูกของ A. afarensis ที่ค้นพบพร้อมกับลูซี่) ได้รับการอธิบายอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในปี 1978 นักวิทยาศาสตร์ก็ตาสว่างขึ้นมาทันที มันได้จุดประกายความคิดใหม่เกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์
A. afarensis นั้นเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง ซึ่งเชื่อมโยงกับบรรพบุรุษของเรามากกว่าที่เคยคิดกันมา ซึ่งเผยให้เห็นว่ามนุษย์นั้นเริ่มเดิน 2 ขาบนพื้นดินมาแล้วอย่างน้อย 3 ล้านปี พร้อมกันนั้น แขนยาวและนิ้วที่โค้งซึ่งเหมาะกับการเคลื่อนที่ผ่านต้นไม้ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนผ่านมาเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
แม้นักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันว่าสปีชีส์นี้เป็นบรรพบุรุษของเราโดยตรงหรือไม่ แต่มันเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน ซึ่งให้ความเข้าใจว่าบรรพบุรุษของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นเป็นอย่างไรและเคลื่อนที่อย่างไร
หากเราได้พบกับ ‘พวกเขา’ ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ A. afarensis ก็คงจะดูตัวเตี้ยมากเมื่อเทียบกับเรา โดยทั่วไปแล้วพวกเขาน่าจะมีความสูงประมาณ 104 เซนติเมตร แต่แขนของพวกเขาจะดูยาวกว่าของเรา พร้อมกับมีนิ้วโค้งงอที่เหมาะกับการหยิบกิ่งไม้
นอกจากนี้พวกเขายังมีเขี้ยวที่เล็กกว่าเรา แต่ก็ยังมีฟันกรามที่เหมาะกับการบดอาหารอยู่ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า A. afarensis น่าจะกินเน้นไปที่กินพืชมากกว่าโฮมินินในยุคหลัง ๆ แต่ก็เช่นเดียวกันกับชิมแปนซีและลิงไม่มีหางอื่น ๆ ในปัจจุบัน พวกเขาจะกินเนื้อบ้างหากมีโอกาส
“ผมอยากเรียนรู้เกี่ยวกับสายพันธุ์ของลูซี่” Hammond กล่าว แม้เราจะคุ้นเคยกับลูซี่และสายพันธุ์ของเธอ แต่ก็ยังมีอีกหลายคำถามที่ยังรอคำตอบอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการแพร่กระจายของสายพันธุ์ไปจนถึงแหล่งที่อยู่อาศัย ซึ่งทั้งหมดมีความสำคัญต่อวิธีที่นักมานุษยวิทยาจะสร้างประวัติศาสตร์มนุษย์ขึ้นมาใหม่
แต่ในตอนนี้เราได้ตั้งชื่อสายพันธุ์และยกย่องให้ลูซี่เป็นสัญลักษณ์ของวิวัฒนาการ แต่เราก็เพิ่งจะเริ่มเข้าใจสมาชิกในตระกูลโบราณของเรานี่เอง
ที่มา
https://education.nationalgeographic.org/resource/lucy-discovered-africa