Customize Consent Preferences

We use cookies to help you navigate efficiently and perform certain functions. You will find detailed information about all cookies under each consent category below.

The cookies that are categorized as "Necessary" are stored on your browser as they are essential for enabling the basic functionalities of the site. ... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

No cookies to display.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

No cookies to display.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

No cookies to display.

Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

No cookies to display.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customized advertisements based on the pages you visited previously and to analyze the effectiveness of the ad campaigns.

No cookies to display.

เหนื่อยนัก ให้ธรรมชาติฮีลใจ

ธรรมชาติไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่เป็นวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว

เหนื่อยไหม ? ลองปล่อยให้ ธรรมชาติ ฮีลใจ เพราะยาวิเศษชนิดนี้มีประโยชน์ต่อทั้งร่างกาย จิตใจ เวลา ความทรงจำ จิตนาการ และความคิดของเรา การได้ออกไปสัมผัสธรรมชาติไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่เป็นวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว 

ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบชีวิตในเมืองอย่างกรุงเทพมหานครที่วุ่นวายและเร่งรีบ คุณตื่นขึ้นมาและพยายามทำทุกอย่างให้เสร็จภายใน 1 ชั่วโมง จากนั้นเดินทางไปยังที่ทำงานโดยใช้เวลาอีกนับชั่วโมงผ่านรถติด ผู้คนที่หนาแน่นบนรถไฟฟ้า และรถเมล์ที่นั่งไม่ค่อยสบายนัก 

เมื่อมาถึงราว 5 โมงเย็น ทุกคนกำลังเตรียมตัวกลับบ้านด้วยความเหนื่อยล้า คุณอาจแวะกินของอร่อยสักมื้อหนึ่งเพื่อให้ชุ่มชื้นหัวใจ แต่แล้วชีวิตก็วนกลับมาใหม่อีกครั้งในเช้าวันถัดไป เราทำแบบนี้อยู่ซ้ำ ๆ เป็นเดือน เป็นปี และเป็นสิบ ๆ ปี สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยผู้คนเช่นนี้ได้กดดันให้ใครหลายคนรู้สึกเหนื่อย กดดัน เครียด และอาจถึงขั้น หมดไฟ 

ถ้าคุณเป็นหนึ่งในนั้นที่อาจกำลังหมดแรง บางการลองหาเวลาไปใช้นอกเมืองกับธรรมชาติ ซึ่งอาจช่วยให้เราผ่อนคลายขึ้นมาได้บ้างไม่มากก็น้อย

“ความเครียดส่วนใหญ่ที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เราพัฒนาขึ้นมา แต่ก็ยังคงกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางสรีวิทยา เช่น ระดับคอร์ติซอลหรือฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียดที่เพิ่มขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจและความตื่นตัวที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงความทรงจำ อารมณ์ และความสนใจ” 

ดร. David Strayer นักประสาทวิทยาด้านความรู้ความเข้าใจ จากมหาวิทยาลัยยูทาห์ กล่าว

พลังธรรมชาติบำบัดนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่ใหม่ก็คือสาขาประสาทวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกำลังพยายามค้นหาว่าทำไมและอย่างไร สมองของเราจึงได้รับผลกระทบอย่างลึกซึ้งจากการอยู่กับธรรมชาติ

ยาดีจากธรรมชาติ

สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทราบกันดีอยู่แล้วคือ สีเขียว (เช่นสภาพแวดล้อมสีเขียวของพืช) และสีน้ำเงิน (น้ำที่เคลื่อนที่) สัมพันธ์กับความเครียดที่ลดลง ทำให้อารมณ์ดีขึ้น อารมณ์เชิงบวกมากขึ้น และความวิตกกังวลที่ลดลง แต่ทุกวันนี้มีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นว่าการเปิดรับธรรมชาติยังช่วยให้การรับรู้ของสมองดีขึ้น รวมถึงกระบวนการที่เกี่ยวกับความรู้และความเข้าใจ ความทรงจำ การใช้เหตุผล การตัดสินใจ จิตนาการและการแก้ปัญหา

การศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่าแค่การมองออกไปที่หลังคาสีเขียวเพียง 40 วินาทีก็ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมงานวิจัยทำแบบทดสอบได้ผิดพลาดน้อยกว่า เมื่อเทียบการมองหลังคาอื่น ๆ ในการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งเมื่อปี 2008 ของดร. Marc Berman ผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการด้านประสาทวิทยาสิ่งแวดล้อม แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก ก็พบว่าการใช้เวลาอยู่ในธรรมชาติ 50 นาทีก็ทำให้ทำงานดีขึ้นได้แล้ว

“เมื่อผู้เข้าร่วมงานวิจัย ได้เดินท่ามกลางธรรมชาติ ประสิทธิภาพ(การทำงาน)ดีขึ้นประมาณ 20% เมื่อเทียบกับการเดินในสภาพแวดล้อมของเมือง”

ดร. Berman กล่าว

ประโยชน์ของธรรมชาติยังขยายไปยังจิตนาการของเราอีกด้วย ศาสตราจารย์ Kathryn Williams นักจิตวิทยาสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นได้ใช้ให้เห็นว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมเดินป่าในการทดลองเป็นเวลา 4 วันโดยไม่มีโทรศัพท์และเทคโนโลยีอื่น ๆ สามารถเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ ได้มากขึ้น 50% ในการทดสอบ

ตัวตนที่ขัดแย้งในปัจจุบัน

เมื่อร่างกายและสมองของมนุษย์วิวัฒนาการขึ้นมา มันทำงานได้เป็นอย่างดีในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ช่วยให้บรรพบุรุษของเราประสบความสำเร็จในฐานะนักล่า นักสำรวจ และนักเก็บของป่า พร้อมกับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวและอยู่รอดได้มาจนถึงปัจจุบัน

“แต่แล้วเราก็สร้างโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดนี้ขึ้นมา เรากำลังพยายามใช้สมองของนักล่า และนักเก็บของป่าในชีวิตโลกสมัยใหม่ที่มีความเครียดและการเรียกร้องที่สูง”

ดร. Strayer กล่าว 

ปรากฎการณ์นี้รู้จักกันในชื่อ ‘ไบโอฟีเลีย’ (Biophilia) ซึ่งกล่าวเอาไว้ว่าเมื่อมนุษย์อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีองค์ประกอบของธรรมชาติทั้งรูป รส กลิ่น และสี ร่างกายของเราจะเกิดความเครียดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าสมองไม่คุ้นเคยสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วย ตึกราม บ้านช่อง และยานพาหนะ

ซึ่งส่งผลต่อเนื่องทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่าซิมพาเทติก (Sympathetic) ที่ร่างกายจะถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวตลอดเวลากับสิ่งรอบข้าง มันทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น สมองประมวลผลอย่างรวดเร็วว่าจะ ‘สู้หรือหนี’ สิ่งต่าง ๆ จะถูกมองว่าไม่ปลอดภัย และมันทำให้ทำให้เราเหนื่อยล้าอย่างมาก

แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การได้สัมผัสธรรมชาตินั้นจะไปกระตุ้นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามคือระบบ ‘พาราซิมพาเทติก’ (Parasympathetic) ระบบนี้ทำสิ่งที่ซิมพาเทติกไม่ทำ นั่นคือการพักผ่อน พาราซิมพาเทติก จะทำให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะของความสงบ 

ผู้เชี่ยวชาญบางคนเสนอว่ามันอาจเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนชื่อ ‘ออกซิโทซิน’ ซึ่งทำตัวเป็นเหมือนเกราะป้องกันและผลักดันความเครียดให้ออกไปจากร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายของเรารู้สึกปลอดภัย อยู่ในสภาพแวดล้อมที่น่าพึงพอใจ สงบ คุ้นเคย และเริ่มฟื้นฟูให้ทุกสิ่งกลับมาเป็นปกติ

คุณไม่จำเป็นต้องชอบธรรมชาติ

หากป่าไม้ ภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ และมหาสมุทรไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกว่าอยากจะออกไปเดินเล่นสักเท่าไหร่ มันทั้งร้อน เหนียวตัว เหนื่อย และแดดเมืองไทยก็ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แต่งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าคุณไม่จำเป็นต้องรักธรรมชาติ ขอแค่เพียงธรรมชาติอยู่ใกล้ ๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างประโยชน์ให้กับคุณ

“แม้แต่ในเดือนมกราคม(ที่ต่างประเทศ) เมื่ออุณหภูมิด้านนอกอยู่ที่ 0°C และผู้คนก็ไม่ได้เพลิดเพลินกับการเดินชมธรรมชาติ แต่พวกเขาก็ยังคงได้รับการประโยชน์ด้านประสิทธิภาพในการทดสอบ” ดร. Berman กล่าว “พวกเขาไม่จำเป็นต้อง ‘ชอบ’ การออกไปเปิดรับธรรมชาติเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ของมัน” 

ในงานวิจัยเมื่อเร็ว ๆ ที่ได้สำรวจผู้คนมากกว่า 16,000 คนใน 18 ประเทศ พบว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สีเขียวหรือบริเวณชายฝั่งทะเล ต่างมีความเป็นอยู่โดยรวมที่ดีขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น หลายคนที่ ‘แค่’ ใช้เวลาอยู่บริเวณพื้นที่สีเขียว 5 ครั้งต่อสัปดาห์ขึ้นไป มีรายงานการใช้ยาด้านจิตเวช(เช่นวิตกกังวล แพนิค หรือซึมเศร้า) ยาลดความดันโลหิต และยาหอบหืดน้อยลงอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ใช้เวลาในพื้นที่สีเขียว 

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าธรรมชาติมีผลกับสมองของเราแม้เราจะไม่ได้รับรู้ว่ามีพวกมันอยู่ หรือเราอยู่ท่ามกลางพวกมัน ทฤษฏีนี้มีชื่อเรียกว่า ‘การฟื้นฟูความสนใจ’ Attention Restoration Theory (ART) โดยนักจิตวิทยาอธิบายไว้ว่ามันคือความสามารถในการรักษาสมาธิไว้กับกิจกรรมที่เราทำ โดยไม่สนใจสิ่งภายนอก 

“พื้นที่ของสมองที่รับผิดชอบต่อความสนใจประเภทนี้อาจหมดลงเนื่องจากสภาพแวดล้อมสมัยใหม่ ที่มีการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน และมีการกระตุ้นสูง” ศาสตราจารย์ Williams อธิบาย มันทำให้เราไม่มีสมาธิ ทำงานผิดพลาด และจมอยู่กับปัญหา 

“แต่มีบางอย่างเกี่ยวกับธรรมชาติที่ทำให้สมองมีส่วนร่วมในลักษณะที่ไม่ต้องใช้อะไรมากมายและง่ายดาย ทำให้พื้นที่เหล่านี้มีโอกาสได้พักผ่อนและฟื้นตัว” ศาสตราจารย์ Williams เสริม

ไม่ใช่ว่าธรรมชาติจะไม่มีสิ่งเร้าหรือตัวกระตุ้นเลย แต่สมองของเราตีความสัญญาณที่มาจากธรรมชาติเช่น เสียงนกร้อง ใบไม้ที่กระทบกัน สายลมที่พัดผ่าน หรือแม้แต่เสียงเท้าที่เหยียบลงไปบนดินของเราเอง เป็นสัญญาณที่ ‘นุ่มนวล’ และสบายใจ จึงทำให้สมองไปทำงานด้านอื่นได้ดีขึ้น หรืออย่างน้อยก็ผ่อนคลายมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์สามารถตรวจจับความเปลี่ยนแปลงนี้ที่เกิดขึ้นได้จริง

ในงานวิจัยหนึ่งชี้ให้เห็นว่าสมองมีสัญญาณจากส่วนหน้าลดลงในระหว่างการสัมผัสกับธรรมชาติ ซึ่งสนับสนุนแนวคิดที่ว่าสมองส่วนนี้กำลังพักผ่อน ในทางตรงกันข้าม สมองส่วนเดียวกันนี้กลับถูกกระตุ้นมากขึ้นเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมของเมือง ราวกับบอกว่ามันพยายามอย่างหนักที่จะประมวลผลข้อมูลมากขึ้น

“ลักษณะทางธรรมชาติ สมองอาจประมวลผลได้คล่องมากขึ้น เพราะเราพัฒนาไปพร้อมกับสิ่งเหล่านั้น” ดร. Berman กล่าว เขาเชื่อว่าเส้นโค้งต่าง ๆ ในธรรมชาติเช่น เนินเขา ทางเดิน ป่าไม้ แม่น้ำ ทะเล หรือลักษณะภูมิประเทศต่าง ๆ อาจเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญ ซึ่งเมื่อเรามองดูสภาพแวดล้อมของเมือง เราจะเป็นว่าเป็นเส้นตรงและมีเหลี่ยมเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เกิดความรู้สึก ‘ทื่อ ๆ’

ดังนั้นถ้า “เราคิดเกี่ยวกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่มีส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี เราอาจต้องใส่องค์ประกอบทางธรรมชาติลงไปในถนน สำนักงาน โรงเรียน บ้าน โดยไม่ลืมว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าถึงธรรมชาติได้ง่าย” 

“ผลการวิจัยที่กำลังเติบโตเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า หากเราไม่ใช่เวลาในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เราก็ไม่สามารถมีสุขภาพที่ดีได้ และสมองของเราก็จะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ” Dr. Berman กล่าว “มันไม่ใช่ความฟุ่มเฟือย แต่มันเป็นสิ่งจำเป็น”

เคล็ดลับง่ายๆ

เอาล่ะหากคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคงเกิดความสงสัยว่าจะมีวิธีไหนที่นำไปใช้กับธรรมชาติได้ง่าย ๆ บ้าง เรามีเคล็ดลับเล็กน้อยที่สามารถปรับให้เข้ากับกิจวัตรประจำวันได้

  • กำหนดช่วงเวลา ‘รับชมธรรมชาติ’ ในแต่ละวันอย่างน้อย ๆ แค่ 10 นาทีต่อวัน
  • เพิ่มสีเขียวให้กับโต๊ะทำงาน ในออฟฟิศ และบ้าน ซึ่งต้นไม้เล็ก ๆ บนโต๊ะสามารถลดความเครียดได้อย่างมีนัยสำคัญตามงานวิจัย
  • ลุกเดินเป็นระยะสั้น ๆ บ้าง การขับร่างกายช่วยให้เกิดความผ่อนคลายจากการทำงาน
  • เปิดเสียงธรรมชาติไม่ว่าจะเป็น เสียงฝนตก นกร้อง หรือทะเล เสียงเหล่านี้ช่วยให้หลายคนรู้สึกดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • รับประทานอาหารนอกบ้านในร้านที่มีต้นไม้หรือตกแต่งด้วยธรรมชาติ เพราะการกินอาหารดี ๆ สักมื้อต่อเดือนท่ามกลางดอกไม้หรือสิ่งแวดล้อมดี ๆ ช่วยให้คุณสดชื่นได้

“แม้เพียงไม่กี่นาทีก็สามารถปรับปรุงการทำงานด้านการรับรู้(ของสมอง)” Eileen Anderson นักมานุษวิทยาการแพทย์และจิตวิทยา กล่าว “อย่าลืมใช้โอกาสเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการอยู่กับธรรมชาติ และใช้เวลาให้นานขึ้นหากเป็นไปได้” 

Credit