เมื่อพูดเพลงสากลตั้งแต่ช่วงยุค 2000s กับแนวเพลงโฟล์คแบบ ‘ทะเล ๆ’ เราเชื่อว่าชื่อของ Jack Johnson (แจ็ค จอห์นสัน) จะผุดขึ้นมาในใจใครหลายคนเป็นอับดับแรก ๆ เป็นแน่ หรือน้อยที่สุดก็ต้องคุ้นหูกับแนวเพลงทะเล ๆ แบบนี้ที่มีอิทธิพลกับนักร้องไทยหลายคนในปัจจุบันบ้างล่ะ
ก่อนหน้านี้ Environman ได้มีโอกาสพูดคุยกับแจ็ค จอห์นสัน ก่อนที่เขาจะขึ้นคอนเสิร์ตที่ไทยครั้งแรกในเทศกาลดนตรี PELUPO ก็เรียกได้ว่าปลื้มใจสุด ๆ เพราะนอกจากเราจะเป็นบิ๊กแฟนของเพลงเขาแล้ว ก็ยังปาหัวใจรัว ๆ ให้กับความกรีนของพี่แจ็คด้วยเช่นกัน เพราะเขาคนนี้นอกจากจะเกิดและเติบโตที่ฮาวายด้วยธรรมชาติห้อมล้อมแล้ว แจ็คถือเป็นหนึ่งในศิลปินที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม และรณรงค์เรื่องนี้ในทุก ๆ บทบาทเท่าที่เขาจะทำได้ เช่น การเลือกแนวทางที่ลดคาร์บอน-ส่งเสริมชุมชนในทุกครั้งที่เขาออกทัวร์ ไปจนถึงการทำแคมเปญชวนเพื่อนศิลปินมาร่วมพกกระบอกน้ำเพื่อลดใช้พลาสติกไปด้วยกัน ฯลฯ
นอกจากนี้ แจ็คก็เป็นก่อตั้งรางวัล All At Once Sustainability Award ที่ยกให้เทศกาลดนตรีที่ลดขยะอย่างยั่งยืนอีกด้วย โดยในประเทศไทยก็มีเทศกาลดนตรี PELUPO ที่ได้รางวัลนี้ไป ชวนมารู้จักเรื่องราวหลังบทเพลงและการเดินทางตลอดยี่สิบกว่าปีของ ‘แจ็ค จอห์นสัน’ ที่มีธรรมชาติเป็นเพื่อนรวมทางได้ในบทความนี้กัน

นี่เป็นครั้งแรกที่คุณมาเล่นคอนเสิร์ตที่ประเทศไทย แล้วเป็นครั้งแรกที่มาเที่ยวไทยด้วยไหมนะ?
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้มาแสดงที่ไทย แต่ก็เป็นครั้งที่สองที่ผมมาเที่ยวที่นี่ ครั้งที่แล้วผมมาแค่ไม่กี่วันเพื่อถ่ายภาพยนตร์เกี่ยวกับเซิร์ฟ (Thicker Than Water) เราเที่ยวทั่วไทยเพื่อขึ้นเรือไปเกาะต่าง ๆ ถึงจะอยู่ไม่กี่วันแต่ก็ได้สัมผัสความสวยงามของประเทศไทย และเราก็ตื่นเต้นกันมากตอนนั่งเรือ
ชอบอะไรเกี่ยวกับทะเลในไทยบ้าง?
มหาสมุทรที่ไทยค่อนข้างสงบ ตอนที่เราออกล่องเรือวันแรกมันเหมือนกับเราล่องอยู่บนผืนหญ้า ถ้าเทียบกับที่ฮาวายที่บ้านผม คือมันไม่ค่อยเป็นแบบนั้น ที่นั่นมีลมที่แรง ทะเลเลยดูจะผิวที่ขรุขระกว่า แล้วตอนกลางคืน ผมจำได้ว่าตอนที่เราอยู่บนเรือเราได้เห็นการเรืองแสงของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำ และมีโลมาโผล่ขึ้นมา ว่ายน้ำข้าง ๆ เรือ พร้อมกับแสงสีเขียวจากสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น มันเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่น่ามหัศจรรย์มากที่สุดที่ผมเคยมีมา มันสวยมาก มันคือที่ภูเก็ตที่พวกเราไปมา
ด้วยความที่เติบโตมาท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม มีผลงานเพลงไหนที่คุณได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติที่คุณแบบ..ลืมไม่ลงไหม?
อืมม.. เป็นคำถามที่ดีเลยล่ะ ผมมีเพลงนึงที่ชื่อว่า “Only the Ocean” ที่ผมชอบมาก มันสื่อถึงอารมณ์ระหว่างคุณกำลังล่องเรือค่อย ๆ ไกลออกไป และคุณจะเห็นแผ่นดินเล็กลงเรื่อย ๆ จนแผ่นดินทั้งหมดหายไป รอบข้างของคุณก็ค่อย ๆ ถูกโอบล้อมไปด้วยมหาสมุทร
‘มันทำให้เรารู้สึกว่าตัวเรานั้นเล็กมาก แต่ในขณะเดียวก็รู้สึกอิสระ’ มันเป็นความรู้สึกที่ผมรู้สึกทุกครั้งเวลาออกไปล่องเรือ เพลงนั้นมันได้แรงบันดาลใจมาจากความกว้างใหญ่ของมหาสมุทร
แล้วก็มีเพลงที่ชื่อว่า “Constellation” และ “Meet the Moonlight” ที่ชอบ Meet the Moonlight เพราะมันเป็นเพลงที่แต่งตอนที่นั่งอยู่นอกบ้านและมองพระจันทร์ มันทำให้ผมรู้สึกอยู่กับปัจจุบัน และทำให้ผมกังวลกับความทะเยอทะยานของตัวเอง แต่ให้ผมรู้สึกขอบคุณคนรักที่คอยอยู่เคียงข้างผมตรงนั้น และบอกให้เรารู้สึกประทับใจกับโมเมนท์ที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนั้น เพลงนั้นแหละได้แรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ

แล้วในบรรดาคอนเสิร์ตที่ผ่านมา มีครั้งไหนที่ไปแล้วรู้สึกว่าทัชใจไหมคะ?
มันมีการแสดงดี ๆ อยู่เยอะมาก เพราะวงเราเป็นเพื่อนที่เล่นด้วยกันมากว่า 25 ปี ผมกับเพื่อนนักเปียโนรู้จักกันมาตั้งแต่อายุ 18 ปี ผมรู้สึกโชคดีมากที่มีเพื่อน ๆ รอบข้าง แม้การแสดงไหนที่เราทำได้ไม่ค่อยดี แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนที่หัวเราะเรื่องนี้ไปด้วยกันได้ หรือถ้าอันไหนมันดีมาก ก็ได้เปรียบที่เราได้แชร์โมเมนท์นั้น ๆ กับเพื่อนเรา
แต่มันมีอยู่เหตุการณ์นึงผุดขึ้นมาในหัวผม ‘Kokua Festival’ ที่ ผม ภรรยาของผม และเพื่อน ๆ จัดงานเฟสติวัลกันขึ้นมาเองที่ฮาวาย มันสนุกมาก เพราะพวกเราได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เยอะมากตลอดเฟติวัลนั้น และเราได้เอาไอเดียที่ได้เรียนรู้จากผู้จัดทั่วโลกที่เราชอบมาปรับใช้กับงานของพวกเรา เพื่อจัดเฟสติวัลที่รักษ์โลกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเงินที่ได้มาทั้งหมดเราก็เอากลับไปให้ชุมชนในฮาวาย เฟสติวัลนั้นเลยเป็นอะไรที่พิเศษมากสำหรับผม ในทุก ๆ ครั้งที่ผมได้จัดมัน

ด้วยความที่คุณเป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่อสิ่งแวดล้อมมาก ในฐานะศิลปินนี่คุณมีเกณฑ์ในการตัดสินใจร่วมงานหรือไปแสดงโชว์ยังไงบ้าง?
ในทุกครั้งที่เราไปทัวร์เป็นเวลานาน ๆ เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้จัดมากมาตลอด และเราก็ทำงานร่วมกันเยอะมาก มีทั้งเราขอไปและทางผู้จัดมีไอเดียมาเสนอ ซึ่งก็เป็นอะไรที่เราได้มาลองสิ่งใหม่ ๆ ด้วยกัน
เอเจนซี่เรามักจะเสนอเฟสติวัลที่เป็นมิตรกับโลกให้เราด้วย หลาย ๆ อย่างที่เปลูโพ้ (PELUPO) ทำ เลยทำให้เราอยากมาเล่นที่เฟสติวัลนี้ด้วย
บางครั้งที่เราไปเล่นที่ใหม่ ๆ ก็อาจมีที่ต้องคุยกันใหม่บ้าง แต่สำหรับที่ที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมอยู่แล้วก็แน่นอนว่ามันดึงดูดให้เราอยากจอยมากขึ้น ท้ายที่สุดมันก็ขึ้นอยู่กับการพูดคุยกันนะ หลายครั้งมันเป็นการสร้างข้อตกลงร่วมกัน เมื่อผู้จัดเองก็พร้อมลอง เราก็พยายามทำความเข้าใจกัน และพยายามทำให้งานมันออกมาดีขึ้นในทุกที่ที่ไป
ลองเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ยว่าที่คุณร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมกับผู้จัดงานครั้งก่อน ๆ ที่ทำมา มีอะไรบ้างคะ?
จริง ๆ มันแตกต่างไปในแต่ละภูมิภาค แต่สิ่งที่เราพยายามทำกันมากสุดคือการลดการใช้พลาสติกใช้แล้วทิ้ง เช่น งดการใช้แก้วที่บาร์ เราคิดโปรแกรมให้มีการใช้แก้วเติมน้ำแทน และเราก็เห็นว่ามันสร้างผลกระทบที่ดีมาก ด้วยขยะที่น้อยลงจากงาน
แล้วก็เรื่องการเดินทางไปแสดงโชว์ เราจะบินไปถ้าไม่มีการเดินทางอื่นให้เลือก แต่ถ้าเราเดินทางไปโชว์ในที่ ๆ แต่ละสถานที่มันใกล้กัน เราก็จะนั่งรถบัส และเลือกใช้บัสที่ใช้น้ำมันไบโอดีเซล
นอกจากนี้ เราก็พยายามทำงานร่วมกับองค์กรไม่แสวงผลกำไรต่าง ๆ ในขณะที่เราทัวร์เพื่อที่จะให้แฟน ๆ มาสนใจองค์กรไม่แสวงผลกำไรเหล่านี้ที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ของพวกเขามากขึ้นด้วย แล้วมันก็สร้างคอนเนคชั่นที่ดีให้กับการทัวร์
หรืออย่างการสนับสนุนเกษตรกรในชุมชน เราพยายามซื้อของในท้องถิ่นมาทำให้อาหารให้ทีมงาน เพื่อที่จะไม่ให้มี Food Miles (ระยะทางอาหารที่ถูกขนส่งจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภค) ด้วย ถ้าเราทำได้ เราก็จะติดต่อกับบ้านของเกษตรกรโดยตรง เพื่อที่จะได้อาหารในท้องถิ่นใกล้ ๆ ของที่เราขายในงานก็พยายามทำให้มันมีผลกระทบต่อโลกให้น้อยที่สุด

ถ้าให้เลือกปัญหาสิ่งแวดล้อมมาแต่งเพลง 1 เพลง จะแต่งเรื่องอะไร?
ผมรู้สึกว่ามันมีเพลงอยู่ 2 ประเภทที่ผมจะเขียนที่สื่อเรื่องสิ่งแวดล้อม มีทั้งที่ผมแต่งให้เด็ก ๆ ซึ่งมันจะมีความหมายที่ตรงตัว สื่อสารชัดเจน เพื่อให้สามารถร้องกับเด็ก ๆ ได้
ส่วนเพลงสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับคนที่ฟังเพลงอัลบั้มผม จะเป็นเพลงที่ความหมายแฝงไว้มากกว่า ผมมีเพลงที่ผมเขียนที่พยายามเตือนคน เกี่ยวกับความสวยงามธรรมชาติของโลกใบนี้ ให้พวกเขาได้หลงรักกับธรรมชาติ
‘เพราะผมรู้สึกว่าถ้าคุณหลงรักธรรมชาติ คุณจะปกป้องมัน เพราะเรามักจะปกป้องทุกอย่างที่เรารักในโลกนี้’ มันจะเป็นแบบนี้มากกว่าเอาประเด็นที่เกิดขึ้นจริงมาพูดและทำให้มันชัดเจน