หน้าร้อนปีนี้เรียกได้ว่าค่าไฟขึ้นสูงจนมองไม่เห็นเพดานกันเลยทีเดียว เราเชื่อว่าหลาย ๆ บ้านก็คงหวั่นใจกับการได้รับใบแจ้งค่าไฟในแต่ละเดือนไม่ต่างกัน วันนี้เราเลยจะชวนมาดูวิธีการคำนวณค่าไฟฟ้าตัวเองในฉบับแบบง่าย ๆ เพื่อจะช่วยในการวางแผนค่าไฟ และหวังว่ามันจะช่วยให้เพื่อน ๆ ลดค่าไฟได้บ้าง มากไปกว่านั้นคือทำให้เพื่อน ๆ วางแผนในการใช้ไฟฟ้าต่อไปในอนาคตได้อย่างชำนาญมากยิ่งขึ้น
ทำไมค่าไฟถึงแพงในช่วงฤดูร้อน
เราเข้าใจว่าประเทศไทยมีแค่ฤดูร้อน ร้อนมาก และร้อนเรือหาย แต่โดยปกติเราจะสัมผัสถึงความร้อนแบบสุดขั้วหัวใจในช่วงเดือนมีนา-เมษา เฉกเช่นเดียวกันในปีนี้ที่ร้อนตับแตกเสียเหลือเกิน ทั้งนี้ก่อนที่เราจะเข้าไปสู่การคำนวนค่าไฟ อยากจะชวนให้เข้าใจสาเหตุที่ค่าทำไมค่าไฟถึงแพงขึ้นในช่วงอากาศร้อนแบบนี้ โดยเมื่อวิเคราะห์แล้วจะพบว่าแต่ละหน้าร้อน มีปัจจัยที่ทำให้ค่าไฟขึ้นแตกต่างกัน โดยในบางครั้งอาจเกิดจากการต้นทุนไฟฟ้าสูงขึ้น แต่ในปีนี้เกิดมาจากผลพวงของอากาศที่ร้อนจากภาวะโลกรวน ส่งผลให้อุณหภูมิอากาศเฉลี่ยสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่ออากาศร้อนแบบนี้ เราจึงมักจะหนีร้อนไปพึ่งเย็นด้วยการเปิดแอร์ เมื่อเปิดแอร์บ่อย ๆ ก็ส่งผลให้มีการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มากขึ้นไปด้วย
สมมติว่าปกติอุณหภูมิอยู่ที่ 36 องศา แต่เราต้องการอากาศ 25 องศา เราจึงให้ลดอุณหภูมิไป 11 องศา แล้วโดยเฉพาะในปีนี้ที่อุณหภูมิกลายเป็น 40 องศา แต่เราต้องการ 25 องศาเหมือนเดิม แอร์จึงต้องทำงานหนักขึ้นด้วยการลดอุณหภูมิถึง 15 องศา ต้องใช้หน่วยไฟเพิ่มขึ้นในการทำงาน ส่งให้ค่าไฟสูงขึ้นนั่นเอง
สำรวจเครื่องใช้ไฟฟ้าก่อนคิดค่าไฟ
เริ่มจากสำรวจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านก่อนว่ามีอะไรบ้าง พัดลม โทรทัศน์ ไมโครเวฟ บลา บลา บลา … หลังจากนั้นให้สังเกตเครื่องใช้ไฟฟ้า ว่ามีการใช้กำลังไฟที่มีหน่วยเป็นวัตต์มากน้อยเพียงใด โดยเปรียบเทียบได้ว่ายิ่งเครื่องใช้ไฟฟ้ามีกำลังไฟ (วัตต์) มาก อัตราค่าไฟที่ออกมาก็จะมากตามไปด้วย ถ้ามีกำลังไฟ (วัตต์) น้อย อัตราค่าไฟที่ออกมาก็จะน้อยตามไปด้วย และปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าไฟอีกสิ่งคือจำนวนเวลาในการเปิดใช้งานเครื่องไฟฟ้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งนาทีและชั่วโมง
ถึงเวลาคิดค่าไฟ
เมื่อรวบรวมข้อมูลของทั้งสองส่วนนี้แล้วจะสามารถนำมาใส่ในสูตรสำเร็จนี้ได้
กำลังไฟฟ้า (วัตต์ ) x จำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้า ÷ 1000 x จำนวนชั่วโมงที่ใช้ใน 1 วัน = จำนวนหน่วยต่อวัน (หน่วย)
ตัวอย่างเช่น บ้านนายหมีน้อย มีเครื่องไฟฟ้าอยู่ทั้งหมด 2 ชนิดได้แก่ แอร์และทีวี
แอร์ มีกำลังไฟฟ้าคือ 1800 วัตต์ x มีทั้งหมด 2 เครื่อง ÷ 1000 x ใช้ทั้งหมด 8 ชั่วโมงต่อวัน
= 28.8 หน่วย/วัน (864 หน่วย/เดือน)
ทีวี มีกำลังไฟฟ้าคือ 300 วัตต์ x มีทั้งหมด 1 เครื่อง ÷ 1000 x ใช้ทั้งหมด 4 ชั่วโมงต่อวัน
= 1.2หน่วย/วัน (36 หน่วย/เดือน)
ดังนั้น บ้านนายหมีน้อยจะมีการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด 864 + 36 = 900 หน่วยต่อเดือน แล้วนำตัวเลขหน่วยการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดต่อเดือนไปคำนวนต่อที่เว็บไซต์ของการไฟฟ้ามหานคร (MEA)
ซึ่งจะนำหน่วยไฟฟ้าไปแปลงค่ากับการคูณราคาต่อหน่วย รวมไปถึงค่าธรรมเนียมบริการอื่น ๆ เช่นค่าบริการ ค่าไฟฟ้าผันแปร และค่าภาษีมูลค่าเพิ่มเรียบ โดยหลังจากการคำนวนผ่านทางเว็บไซต์ของการไฟฟ้ามหานคร (MEA) สามารถสรุปได้ว่าบ้านนายหมีน้อย จะจ่ายค่าไฟฟ้ารายเดือนอยู่ที่ 4,441.45 บาท
แล้วเราจะลดค่าไฟอย่างไรได้บ้าง ?
ขอนำเสนอวิธีการลดค่าไฟด้วยการปรับวัตต์
วัตต์ (Watt) เป็นหน่วยในการวัดปริมาณการใช้ไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าในปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้วจะมีความคิดที่ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้วัตต์สูงจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าวัตต์ต่ำ โดยประโยคนี้จะถูกต้องต่อเมื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ว่านั้นอยู่ในพวกเครื่องทำน้ำอุ่น แอร์ ตู้เย็น เครื่องทำความร้อน ซึ่งต้องใช้ไฟฟ้ามากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้วัตต์สูง เช่นหลอดไฟ ถ้ามีค่าวัตต์ที่สูงกว่าความจำเป็นก็เป็นเพียงแค่การเพิ่มการใช้หน่วยไฟอย่างไม่จำเป็นนั่นเอง
ดังนั้นวิธีลดค่าไฟที่สามารถนำไปใช้ได้คือการเก็บข้อมูลวัตต์ของเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชิ้นในบ้าน และนำไปเทียบกับค่ามาตรฐานเพื่อตรวจสอบอีกครั้งว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นนั้นกำลังใช้ไฟมากเกินความจำเป็นหรือไม่ และเปลี่ยนไปใช้เครื่องอื่น ๆ หรือลดการใช้แทน เพื่อปรับลดค่าไฟของบ้านตัวเองลง
ค่าไฟไม่เท่าเดิมเสมอไป
โดยแม้หน่วยไฟฟ้าจะถูกใช้ในปริมาณเท่าเดิม ค่าไฟฟ้าก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละเดือน เนื่องจากค่าไฟฟ้าผันแปร ที่จะเปลี่ยนขึ้นลงไปตามต้นทุนการผลิตไฟฟ้า และยิ่งสูงขึ้นในช่วงนี้เนื่องจามีการขึ้นของน้ำมันอันเป็นผลกระทบจากสงคราม การผลิตแก๊สธรรมชาติในไทยได้น้อยลง การนำเข้าที่มากขึ้น อีกทั้งยังมีปัจจัยเรื่องการคิดค่าไฟแบบขั้นบันได ที่จะเพิ่มราคาต่อหน่วยไฟฟ้าขึ้นเมื่อใช้เกินขั้นที่กำหนด