Customize Consent Preferences

We use cookies to help you navigate efficiently and perform certain functions. You will find detailed information about all cookies under each consent category below.

The cookies that are categorized as "Necessary" are stored on your browser as they are essential for enabling the basic functionalities of the site. ... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

No cookies to display.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

No cookies to display.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

No cookies to display.

Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

No cookies to display.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customized advertisements based on the pages you visited previously and to analyze the effectiveness of the ad campaigns.

No cookies to display.

ฝีดาษลิง โควิด-19 อาจพบได้แรงและบ่อยขึ้น เพราะโลกรวนและสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรม? Environman

ฝีดาษลิง โควิด-19 อาจพบได้แรงและบ่อยขึ้น เพราะโลกรวนและสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรม? 

70 ปีที่แล้วแทบไม่มีใครรู้จักไวรัสเหล่านี้ เพราะอะไรถึงทำให้มันกลายเป็นหายนะใหญ่?

ฝีดาษลิง, โควิด-19 และโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน จะพบบ่อยมากขึ้นและรุนแรงขึ้นท่ามกลางภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรม 

ภายในไม่กี่วันที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินอย่างเร่งด่วนเนื่องจากเกิดการระบาดของไวรัส ‘ฝีดาษลิง’ โดยมีผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในแอฟริกากลางซึ่งเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง แต่สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญกังวลก็คือ ครั้งนี้เกิดการระบาดในวงกว้างไปยังประเทศที่ไม่เคยพบโรคนี้มาก่อน เช่น บุรุนดี เคนยา ราวันดา และยูกันดา (รายงานล่าสุดระบุว่าพบในสวีเดนด้วยเช่นกัน)

และล่าสุด (21 สิงหาคม) ไทยเราพบ ‘ผู้ป่วยสงสัย’ ฝีดาษลิง Clade 1 รายแรกในไทยแล้ว ซึ่งเป็นชาวยุโรปที่มีประวัติการเดินทางมาจากทวีปแอฟริกาก่อนหน้านี้ และกำลังรอผลตรวจยืนยันสายพันธุ์ว่าเป็น Clade 1B หรือไม่

นักวิจัยกล่าวว่าไวรัสประเภทติดต่อจากสัตว์สู่คน (Zoonotic diseases) เช่น ไวรัสฝีดาษลิง หรือโควิด-19 จะกลายเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยขึ้น เนื่องจากความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมและการทำลายที่อยู่อาศัยของสัตว์ ทำให้มนุษย์และสัตว์มีโอกาสสัมผัสกันได้มากขึ้น และอาจทำให้ไวรัสมีโอกาสพัฒนาตัวเองกลายเป็นโรคใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิม

“การแพร่ระบาดของฝีดาษลิงเกิดขึ้นในบางส่วนของแอฟริกาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ถือเป็นภาวะฉุกเฉินไม่เพียงแต่แอฟริกาเท่านั้น แต่สำหรับทั้งโลก” ดิไม โอโกอินา (Dimie Ogoina) ประธานคณะกรรมการองค์การอนามัยโลก กล่าว

Credit : WHO

“mpox ซึ่งมีต้นกำเนิดในแอฟริกาถูกละเลยเรื่อยมา และต่อมาก็ทำเกิดการระบาดทั่วโลกในปี 2022 ซึ่งตอนนี้ได้เวลาแล้วที่จะดำเนินการอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย” เขาเสริม 

ป่าไม้ที่หายไป

ตั้งแต่ปี 1990 ป่าไม้ทั่วโลกได้ถูกตัดไปคิดเป็นพื้นที่ประมาณ 1 พันล้านเอเคอร์แล้ว โดยคิดเฉลี่ยเป็นปีละ 25 ล้านเอเคอร์ในช่วง 2015-2020 โดยมีแนวโน้มลดลงจาก 40 ล้านเอเคอร์ต่อปีในช่วง 1990 กระนั้นมันก็ได้สร้างผลกระทบขนาดใหญ่ตามมา นั่นคือ สัตว์ป่าต้องสูญเสียบ้านของพวกมันไป 

“คุณเพิ่งเห็นผลของการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของสัตว์และมนุษย์ มันทำให้สัตว์ป่าและมนุษย์ต้องสัมผัสกันมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการปนเปื้อนได้มากขึ้นตามมา” Lanre Williams-Ayedun รองประธานอาวุโสฝ่ายโครงการระหว่างประเทศของ World Relief ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรด้านความยั่งยืน กล่าว

ป่าไม้ที่หายไปทำให้สัตว์เปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตและการอพยพ ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมของเชื้อโรคในโฮสต์ตามธรรมชาติด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาของเชื้อโรค เนื่องจากพวกมันมีโอกาสในการเจอสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ และสิ่งมีชีวิตใหม่ ๆ ท้ายที่สุดแล้วพวกมันก็อาจแพร่เชื้อได้มากขึ้นยิ่งกว่าเดิม

“ขึ้นอยู่กับเชื้อโรคชนิดใดชนิดหนึ่ง เมื่อมันมีโอกาสทำซ้ำหลายครั้ง เชื้อโรคก็จะปรับตัวให้เข้ากับสายพันธุ์ใหม่ได้ง่ายขึ้น” Williams-Ayedun กล่าว 

การศึกษาของสหประชาชาติระบุเอาไว้ว่าโรคติดเชื้อที่รู้จักกันดีในมนุษย์ประมาณ 60% และโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ทั้งหมด 75% นั้นมาจากการติดต่อจากสัตว์สู่คน หรือกล่าวอีกอย่างได้ว่าเป็นการติดต่อต่างสายพันธุ์กัน เช่นโรคอีโบลา โรคซิกา โควิด-19 ซึ่งตั้งสมมติฐานว่ามาจากค้างคาว รวมถึงฝีดาษลิงด้วยเช่นกัน

แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือ ไวรัสส่วนใหญ่เหล่านี้ไม่เป็นที่รู้จักเมื่อเทียบกับ 70 ปีที่แล้ว สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วเพียงใด ไม่เพียงแต่จะมีเชื้อโรคใหม่ ๆ มากขึ้น แต่ไวรัสเหล่านั้นยังกระโดดจากสัตว์สู่มนุษย์บ่อยขึ้นด้วย 

การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก็เกี่ยวข้องกับโรคอันตรายด้วยเช่นกัน

ในทุกวันนี้ผู้คนเดินทางกันได้ไกลและบ่อยขึ้นด้วยวิธีง่าย ๆ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าตอนนี้ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของก็มีโอกาสกลายเป็นแหล่งระบาดครั้งใหญ่ต่อไปได้ แต่เพื่อทำให้เรื่องนี้ชัดเจนขึ้น ทีมวิจัยได้สำรวจข้อมูลในอดีตรวมเข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นปัจจุบัน

Credit : WHO

“การวิจัยที่ผมทำนั้นค่อนข้างจะเป็นการคาดการณ์อนาคต” Luis Escobar ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากภาควิชาปลาและสัตว์ป่าของเวอร์จิเนียเทค กล่าว “แต่เรากำลังใช้ความพยายามอย่างมากในการสร้างอดีตขึ้นมาใหม่ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลจากศตวรรษที่แล้ว ในแง่ของโรคสัตว์ป่า สภาพอากาศ กฎหมายป่าไม้ในช่วง 100 ปีทีผ่านมา และด้วยข้อมูลดังกล่าว เราจึงเข้าใจได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในปัจจุบัน” 

เขาและเพื่อนร่วมงานได้ใช้ข้อมูลเหล่านั้นเพื่อคาดการณ์รูปแบบที่อาจเกิดขึ้นในอีก 50 ปีหรือ 100 ปีข้างหน้า ทว่าพวกเขาก็พบว่า โรคติดต่อจากสัตว์สู่คนนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานขนาดนั้น การวิจัยเผยว่าแค่ 12-20 ปีข้างหน้า โรคระบาดจากสัตว์จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

เช่น โรคประจำถิ่นในประชากรค้างคาวของละตินอเมริกาอาจเริ่มแพร่กระจายไปยังอเมริกาใต้มากขึ้น เนื่องจากละตินอเมริกามีอากาศอบอุ่นขึ้น ทำให้ค้างคาวมีการอพยพที่เปลี่ยนไป ขณะเดียวกันในสถานการณ์ที่ภาวะโลกร้อนได้ทวีความรุนแรงขึ้น ไวรัสที่พบในปลาก็จะระบาดจนส่งผลต่อปริมาณอาหารและเศรษฐกิจของมนุษย์

“ตอนนี้ฉันคิดว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่วนใหญ่เน้นไปที่ ‘สิ่งที่ไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อม เราจะเห็นน้ำท่วมหรือคลื่นความร้อน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ’” ดร. Carl Fichtenbaum รองประธานฝ่ายวิจัยทางคลินิกด้านอายุรศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยซินซินนาติกล่าว “แต่ผู้คนไม่ได้มองมันในแง่ของสุขภาพและโรคของมนุษย์เสมอไป ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก” 

บทเรียนสำคัญจากโควิด-19 และโรคฝีดาษลิงในปัจจุบันก็คือ โรคติดเชื้อส่วนใหญ่มีรากฐานมากจากการเปลี่ยนแปลงทางระบบนิเวศ ซึ่งหมายถึงสุขภาพของโลกและมนุษย์ สิ่งนี้ต้องถูกพิจารณาไปควบคู่กับสุขภาพของสัตว์ป่า 

ไม่เพียงเท่านั้นมันยังชี้ให้เห็นว่าการทำลายสิ่งแวดล้อมนั้นสร้างอันตรายได้มากเพียงใด ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีระเบียบในการคุ้มครองป่าไม้ แก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน และยุติความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีโดยรวม โดยมุ่งเน้นไปยังระดับโลกเพื่อให้ทุกชีวิตได้อย่างกันอย่างปลอดภัยและสงบสุข

“ผมคิดว่าสิ่งที่เราเห็นกันทั่วไปในตอนนี้ก็คือ การระบาดที่รุนแรงมากขึ้นอย่างโรคประจำถิ่นในระดับเล็กที่ดูลุกลามมากขึ้น เกิดบ่อยขึ้น และแพร่ระบาดมากขึ้นเรื่อย ๆ” ดร. Mike Ryan ผู้อำนวยการบริหารด้านภาวะฉุกเฉิกด้านสุขภาพของ WHO กล่าว “นั่นเป็นบทเรียนที่ไม่ใช่แค่สำหรับโรคฝีดาษลิงเท่านั้น” 

“แต่เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าเราขาดการลงทุนในส่วนที่สัตว์และมนุษย์ต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่ไม่มีระบบพร้อมสำหรับการวิจัยและการแทรกแซง” เขาเสริม

ที่มา
https://www.npr.org/2022/09/29/1119561088/monkeypox-climate-change-zoonotic-diseases

https://www.sustainability-times.com/expert-opinions/who-explains-the-climate-change-link-to-monkeypox/#:~:text=The%20CDC%20says%20the%20precise,cross%20from%20animals%20into%20humans.

https://www.theguardian.com/commentisfree/2022/may/25/monkeypox-disease-climate-change

https://www.euronews.com/health/2024/08/15/what-is-mpox-how-does-it-spread-and-why-has-it-been-declared-a-global-health-emergency

Photo 

สถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIAID)

World Health Organization (WHO)

Credit