Customize Consent Preferences

We use cookies to help you navigate efficiently and perform certain functions. You will find detailed information about all cookies under each consent category below.

The cookies that are categorized as "Necessary" are stored on your browser as they are essential for enabling the basic functionalities of the site. ... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

No cookies to display.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

No cookies to display.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

No cookies to display.

Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

No cookies to display.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customized advertisements based on the pages you visited previously and to analyze the effectiveness of the ad campaigns.

No cookies to display.

ให้เสียงจากธรรมชาติบำบัดใจ กับ นท-พนายางกูร - EnvironmanEnvironman

ให้เสียงจากธรรมชาติบำบัดใจ กับ นท-พนายางกูร

อัลบั้มใหม่ที่ว่าด้วยความเข้าใจชีวิต โดยมีธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจ

ปล่อยให้เสียงจากธรรมชาติบำบัดใจเรา ไปกับ ‘นท พนายางกูร’ ในอัลบ้ัมใหม่ล่าสุด ‘Metamorphogenesis’ ที่สะท้อนการเดินทางในช่วงสิบปีที่ผ่านมาของเธอ

‘มีตั้ง 15 เพลงนะ มันต้องมีสักเพลงที่ชอบบ้างล่ะ’ (ฮา) นี่คือประโยคที่นทพูดกับเราเชิงขำ ๆ แต่ก็เป็นคำที่ไม่เกินจริงไปเลย  เพราะส่วนผสมที่ถูกหยิบมาปรุงแต่งใน 15 เพลงนี้ของเธอนั้นเป็นเสียงจากธรรมชาติที่เธอเคยสัมผัสมา ไม่ว่าจะเป็นเสียงใบไม้ เสียงป่า เสียงคลื่นทะเล ไปจนถึงเสียงของวาฬหลังค่อมที่เธอเคยอัดไว้เมื่อครั้งไปดำน้ำและเจอกับเจ้าวาฬในระยะไม่เกิน 2 เมตร เพราะเธอเชื่อว่าพลังของเสียงนั้นยิ่งใหญ่กับมนุษย์มาก และเสียงจากธรรมชาติเหล่านี้แหละที่จะช่วยบำบัดใจของเราให้สงบมากขึ้น ดึงจิตให้กลับมาอยู่กับตัวเองมากขึ้น จนนำไปสู่การทบทวนตัวเอง เข้าใจตัวเอง และเข้าใจโลกมากยิ่งขึ้น เหมือนที่เธอเคยได้สัมผัส

“การกลับไปอยู่กับธรรมชาติมาก ๆ มันทำให้อยู่กับตัวเองได้มากขึ้น ทำให้เรารู้สึกติดดิน ปลดปล่อยจากอีโก้และความสะดวกสบายในเมืองได้ ทั้งวิถีชีวิตในเมือง แสงสีเสียงที่เราเคยเจอ เราปลดปล่อยไปหมด มันทำให้รู้สึกสบาย เบา และเราเป็นเราในเวอร์ชั่นนี้”

นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นการเป็น ‘นท เดอะสตาร์’ ในวันนั้นสู่นทที่เธอบอกว่าเป็นตัวเองที่ ‘มีสติและบาลานซ์’ ที่สุดในตอนนี้จาก ‘ธรรมชาติ’ ที่เป็นแรงบันดาลใจและเป็นผู้ฮีลใจเธอ มารู้จัก ‘นท’ ในเวอร์ชั่นนี้และเข้าใจธรรมชาติที่ทำให้เธอเป็นเธอในเวอร์ชันนี้ไปพร้อม ๆ กันเลย

“ความเป็นนทในอายุเท่านี้ อัลบั้มนี้ ตอนนี้น่าจะเป็นนทที่บาลานซ์ มีสติ พอเพียง” 

นี่คือคำนิยาม ‘ความเป็นนท’ ที่เจ้าตัวบอกกับเรา ตอนนี้เธอกลับมาอีกครั้งในนามศิลปิน ‘notep’ กับอัลบั้มที่สะท้อนความเป็นตัวเองในช่วงเวลานี้ได้ดีที่สุด

ย้อนกลับไปหลายปีก่อน หลายคนอาจคุ้นชินกับชื่อแจ้งเกิดอย่าง ‘นท เดอะสตาร์’ ที่มาพร้อมกับความสดใส แต่เส้นทางในวงการบันเทิงช่วงนั้นก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอ ‘เบิร์นเอาท์’ หมดไฟจนทำให้เธอต้องถอยออกมาทำความเข้าใจตัวเองและสิ่งรอบตัวใหม่อีกครั้งจนพัฒนาเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้น

“จุดที่เป็นจุดเปลี่ยนคือเลิกร้องกระแสหลักตอนนั้นแหละ มันคือการที่เรายอมรับว่า เรามีข้อเสียอะไรและเราทำอย่างนั้นไม่ได้ ก็ยอมรับ เข้าใจ แล้วปล่อยวางมัน จนเราพร้อมที่จะพัฒนาเป็นเวอร์ชั่นที่ดีขึ้น จากตอนนั้นจนตอนนี้ทำให้เราเรียนรู้เยอะมาก โตขึ้นเยอะมาก เข้าใจชีวิต เข้าใจตัวเอง คนรอบข้าง และธรรมชาติของโลก” 

ออกเดินทางทั้งภายนอกและภายในเพื่อให้เข้าใจโลกและเข้าใจตัวเอง

แน่นอนว่าการจะเข้าใจตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรือมีสูตรที่ให้เราค้นหาคำตอบได้ตายตัว นทเล่าว่าเธอออกเดินทางทั้ง ‘ภายนอกและภายในจิตใจ’ ทั้งการท่องเที่ยวธรรมชาติไปแต่ละมุมโลกและการไปเรียนรู้ศาสตร์ด้านภายในจิตใจอย่างการบำบัดด้วยเสียงและคลื่นเสียง (Sound Healing) ที่เนปาล จนทำให้เรียนรู้ว่าคลื่นเสียงเป็นสิ่งที่มีพลังงานสูงมากและมีอิทธิพลกับผู้คนทั้งภายในสมองและจิตใจ .

ประสบการณ์เหล่านี้เชื่อมเธอเข้ากับธรรมชาติผ่านทุกโสตประสาท ทั้งการปล่อยใจให้ล่องลอยค้นหาตัวตนผ่านการใช้เสียงบำบัดใจ การเงี่ยหูฟังเสียงธรรมชาติรอบตัว การใช้ตาจ้องมองวาฬหลังค่อมที่เธอประชิดในระยะไม่ถึงสองเมตร ไปจนถึงประสบการณ์การดื่มน้ำรากต้นไม้ ทั้งหมดนี้ที่ทำให้เธอรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติมากขึ้นและปล่อยวางอีโก้ของความเป็นมนุษย์ลง

“มันรู้สึกเหมือนว่าเราก็เป็นแค่ดวงจิต เป็นการสั่นสะเทือนหนึ่งที่มันประกอบอยู่ด้วยกัน สุดท้ายแล้ว เราไม่ได้ต่างจากใบไม้ ต้นไม้ ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราจริง ๆ มันเป็นหนึ่งเดียวกันหมดเลย แต่แค่มนุษย์ถูกปิดการมองเห็นด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่ล่อลวงเราในชีวิตประจำวัน ทำให้เราลืมโฟกัสกับจุดที่ลึกซึ้งมาก ๆ ไป”

“เราลืมไปเลยว่าเราเกิดจากธรรมชาติ บรรพบุรุษเราก็มาจากดิน จากทะเลมาก่อน แต่เราลืมไปแล้วเพราะเราโตมาจากป่าคอนกรีต ในยุคที่มีเทคโนโลยี สิ่งอำนวนความสะดวกมาก จนเราลืมไปแล้วว่าเราเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ 

ตอนนั้นมันเลยรู้สึกเข้าใจว่า ฉันรู้แล้วว่าเกิดมาชีวิตนี้ฉันต้องทำอะไร เป้าหมายในชีวิตคืออะไร มันไม่ใช่แค่การต้องเป็นแค่ศิลปิน นักร้อง นักแสดงที่ให้ความสุขเท่านั้น แต่ต้องสื่อสารอะไรที่นทไปเจอมา ทั้งการคอนเนคกับตัวเองภายใน คอนเนคกับสิ่งแวดล้อม ให้ทุกคนฟัง เพราะมันจะทำให้ทุกคนสงบและมีความสุขขึ้นเยอะเลย”

‘Metamorphogenesis’ อัลบั้มใหม่ที่ถ่ายทอดการเดินทางสิบปีที่หายไปของนท 

หลังจากการเดินทางตลอดเวลาสิบปีที่ทำให้เธอได้รู้จักและคอนเนคกับตัวเองมากขึ้นจนรู้สึกว่า ‘ถูกเติมเต็ม’ มากพอที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นแล้ว จึงเป็นที่มาของอัลบั้มนี้ 15 เพลง ใน Metamorphogenesis ใช้เวลาเพียง 8 เดือน และเธอเล่าว่ามันเหมือนกับ ‘ก๊อกน้ำที่เราแค่คนเปิดออก’ ไอเดียทุกอย่างก็พรั่งพรูออกมา

“มันเริ่มต้นจากที่เราคิดว่าเราต้องเริ่มลงมือละล่ะ ต้องทำแล้ว พอปีที่แล้วเรามองว่าตัวเองพร้อมแล้วก็ทำยาว ๆ มาเรื่อย ๆ เป็นการเดินทางที่เร็วมาก ทุกอย่างออกมาเร็วมาก 15 เพลง ใน 8 เดือน อัลบั้มนี้เรามองว่า มันเป็นการอธิบายความเป็นตัวเราและเรื่องราวของเรามาก ๆ แม้อันนี้จะยังไม่ใช่ไฟนอลเอาท์คัมของนทที่บอกว่านทเป็นแบบนี้ แต่มันเป็นโพรเซสอะไรที่ใหญ่กว่านี้มากกว่า คือมันเปลี่ยนไปได้เรื่อย ๆ เลย มันสนุก ไม่มีจำกัด ไม่มีขอบเขต มันเติบโตไปได้เรื่อย ๆ พร้อมเรา”

“ชื่ออัลบั้ม Meta มันคือการพูดเรื่องของตัวเอง Morphogenesis มันคือการกระบวนการเจริญเติบโตของทุกสิ่งมีชีวิตบนโลก ไม่ว่าจะคน สัตว์ พืช แบคทีเรีย ทุกอย่างล้วนต้องผ่านโพรเซสนี้หมด จากการที่เซลล์มันแตกตัวจนหล่อหลอมเป็นเนื้อ เป็นร่างกาย 

ซึ่งเราอินตรงนี้เพราะมันเป็นความจริง เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องผ่านมา เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่ตัวเราจะเกิดขึ้นอีก และมันก็จะเกิดต่อ ๆ ไป ในวันที่เราไม่อยู่ที่นี่แล้ว 

ตัวเราเป็นแค่เหมือนสิ่งหนึ่งที่หลุดเข้ามาอยู่ในออเดอร์นี้ มันก็อยู่ที่ว่าเราจะทิ้งผลงาน การกระทำอะไรของเราไว้ต่อไป”

ดิน น้ำ ลม ไฟ ธรรมชาติที่หล่อหลอมให้เราเป็นเรา

ทุกเสียงประกอบ ทุกท่าทาง ทุกการเรียบเรียง คือสิ่งที่เธอไปเจอมาตลอดสิบปีที่ผ่านมา เธอเล่าว่าได้แรงบันดาลใจจากสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดในชีวิต และทุกการร้อยเรียงบทเพลงตั้งแต่ลำดับแรกจนจบนั้นถูกดีไซน์มาหมดแล้วว่ามันจะเล่าเรื่องราวพาผู้คนไปยังไง รวมถึงจังหวะ-ทำนองของแต่ละบทเพลงก็เปรียบเป็นแต่ละธาตุของธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกที่ต่างกันออกไป แต่ในขณะเดียวกันก็แทรกซึมให้ผู้คนเข้าใจธรรมชาติแต่ละแง่มุมผ่านการเชื่อมโยงกับอารมณ์และจิตใจของผู้คนภายใน

“ในอัลบั้มมันจะแบ่งเป็น 4 พาร์ทคือ น้ำ ดิน ลม ไฟ เป็นธาตุต่าง ๆ ของธรรมชาติ เพราะเรารู้สึกว่าธรรมชาติเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้เราเป็นเราในวันนี้ 

แต่ละธาตุจะมีแต่ละความหมาย เราเริ่มด้วยน้ำเพราะเราอยากให้คนรู้สึกผ่อนคลาย โฟลว หายใจเป็นจังหวะเดียวกันก่อน หลังจากนั้นพอคนเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ก็ไปต่อที่ธาตุดิน เน้นไปที่เรื่อง grounding ให้คนมีสติ อยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับตัวเอง เข้าใจลึกซึ้งถึงข้างในของเรา 

พอธาตุดินเสร็จก็เป็นธาตุไฟที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้นขึ้น มีไฟลุกโชน สนุกสนาน พูดถึงรากเหง้าของมนุษย์ ค่อนข้างเป็น World Music มากขึ้น เอาเครื่องดนตรีพื้นเมืองของประเทศต่าง ๆ ที่อินสปายเรามาร่วม เช่น ไทย อินเดีย แล้วมาจบด้วยลม ค่อย ๆ เป่าให้เราเย็นสบาย สงบลง และกลับมาสู่ตัวเองอยู่กับลมหายใจอีกครั้ง

เราได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติเยอะมาก เขาทำให้เรารู้จักตัวเอง คนรอบข้าง และโลกมากขึ้น เราค้นพบว่าจริง ๆ แล้วธรรมชาติให้กำเนิดเราแบบที่เปรียบเขาเป็นพ่อแม่ก็ยังได้ เพราะถ้าไม่มีธรรมชาติ ก็ไม่มีอากาศ อาหาร น้ำ ที่อยู่ 

ถ้าเราไม่กตัญญูกับเขา มันทำให้รู้สึกเหมือนเราตัดขาดอะไรสักอย่าง การที่เราสามารถไปเชื่อมโยงกับสิ่งที่ให้กำเนิดเราได้ มันจะทำให้เราเหมือนสำนึกหรือเข้าใจในธรรมชาติของเราได้มากขึ้น” 

นิยามการรักธรรมชาติในแบบที่ใส่ใจกับทุกสิ่งรอบข้าง

ระหว่างบทสนทนาที่คุยกัน ยิ่งทำให้เราเข้าใจได้ว่า ‘การกตัญญูกับธรรมชาติ’ ของเธอในที่นี้หมายถึง การเห็นคุณค่าของทุกสรรพสิ่งรอบตัวมากกว่าการนึกถึงเพียงต้นไม้ใบหญ้า จุดมุ่งหมายในอัลบั้มนี้เธอยังอยากให้คนเห็นคุณค่าในการมีอยู่ของผู้คนรอบตัว สิ่งมีชีวิตรอบตัว ในฐานะผู้ฟังอย่างเราจึงรู้สึกว่าเป็นดนตรีที่เข้าถึงใจได้ง่าย ไม่ต้องมีเนื้อเพลงก็เข้าใจกัน เพลงใดเพลงหนึ่งใน 15 เพลงนี้ก็อาจทำให้คุณอยากวิ่งกลับไปกอดคนที่บ้าน เล่นกับหมาที่รอรับอยู่ที่หน้าประตู ไปจนถึงอยากเอาตัวเองกลับไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอีกครั้ง

“เสียงที่ใช้มันมีทั้งที่อัดเก็บไว้ในเครื่อง และไปเก็บเพิ่ม บางอันที่มีอยู่แล้ว เช่น เสียงหมาที่บ้านที่เราอัดเก็บไว้เป็นความทรงจำเฉย ๆ เพราะมันน่ารัก แต่วันหนึ่งก็รู้สึกว่าอยากเอามาใช้ทำเป็นเพลงจัง 

หรือบางเพลงก็มีเสียงพระลิงดำที่ท่านเสียไปตั้งแต่ปีที่นทเกิด แต่เราค้นเจอในออนไลน์แล้วชอบที่เขาเทศน์เรื่องเจริญสติ ถึงเราไม่ได้เป็นพุทธแต่เราชอบหยิบของแต่ละศาสนาออกมาใช้กับเรา คือเราเชื่อในพลังงาน เชื่อเรื่องธรรมชาติมากกว่า แต่ก็หยิบมาใส่เพื่อให้คนเชื่อมโยงได้ง่ายด้วย 

“มีเสียงธรรมชาติหลายอันที่เราไปอัดมาเพื่อมาใส่ในเพลง ไม่ว่าจะเสียงใบไม้ เสียงลม ป่า คลื่นทะเล เสียงสัตว์ หรืออย่างเสียงวาฬที่เราดำน้ำด้วย เสียงหมาที่บ้าน เสียงคุณแม่ เสียงน้องชาย คุณยายเราเอง 

คือเสียงเหล่านี้จริง ๆ เป็นเสียงที่เราได้ยินในชีวิตประจำวันหรือเวลาที่เราไปท่องเที่ยว บางทีเราอาจจะคิดแค่ว่ามันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเรา แต่นทคิดว่าสิ่งเหล่านี้ที่มันหล่อหลอมให้เราเป็นเราได้ ทุกเพลงเราตั้งใจให้เข้าถึงใจของคนฟัง นทรู้สึกว่าเรื่องราวมันเป็นเรื่องส่วนตัวที่เกิดในชีวิตประจำวันทุกคน ซึ่งเราอยากให้มันเป็นอะไรที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย”

“นทไม่ได้เกิดมาเพื่อแค่ให้ความสุข แต่นทต้องการเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มันยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา  อย่างน้อยก็ให้โลกเราดีขึ้นเลเวลนึงเท่าที่คน ๆ นึงจะทำได้” 

นอกเหนือจากบทบาทของศิลปินแล้ว เธอมองว่าตัวเองก็เป็นคน ๆ หนึ่งที่อยากจะเปลี่ยนแปลงโลกให้ได้เท่าที่ตัวเองทำได้และทำในแบบที่ตัวเองถนัด

“เราอยากให้คนคอนเนคกับตัวเองและสิ่งรอบข้างมากขึ้น ไม่ว่าจะผู้คนหรือธรรมชาติก็ตาม นั่นคือจุดหมายหลักของนท ทั้งงานเพลง งานศิลปะ หรืองานอินฟลู ทุกอย่าง นทรู้สึกว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อแค่เป็นคนที่ให้ความสุข ความสนุก หรือแรงบันดาลใจกับใคร แต่นทต้องการที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มันยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา อย่างน้อยก็โลกเราดีขึ้นเลเวลนึงเท่าที่คน ๆ นึงจะทำได้” 

ย้อนไปสมัยก่อนที่ยังไม่มีไฟฟ้าหรือสมัยก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม เราอาจเชื่อมโยงกับธรรมชาติกันได้กว่านี้ พึ่งพากันและกันมากกว่านี้ แต่สมัยนี้มัยแค่เดินซุปเปอร์มาเก็ตก็เจอของแล้ว 

การกลับไปอยู่กับธรรมชาติมาก ๆ มันทำให้อยู่กับตัวเองได้มากขึ้น ทำให้เรารู้สึกติดดิน ปลดปล่อยจากอีโก้และความสะดวกสบายในเมืองได้ ทั้งวิถีชีวิตในเมือง แสงสีเสียงที่เราเคยเจอ เราปลดปล่อยไปหมด มันทำให้รู้สึกสบาย เบา และเราเป็นเราในเวอร์ชั่นนี้”

“ในอัลบั้มนี้ มีเพลงนึงที่อยากหยิบมาแชร์คือ เพลงที่สองที่มีเสียงของวาฬหลังค่อมที่ไปเจอมาตอนดำเนินที่ตองกา เป็นโมเม้นที่เราร้องไห้เลย เราอยู่ห่างจากเขาแค่สองเมตร ต่างคนต่างมองตากัน มันทำให้เรารู้ว่า เราตัวเล็กมากเลย เป็นแค่สิ่งจิ๋ว ๆ ในจักรวาลนี้เองอ่ะ”

“ในเรื่องสิ่งแวดล้อม เรารู้สึกว่าจะต้องทำให้มันสนุก ไม่เครียด ไม่หนักเกินไปและต้องเข้าถึงง่ายนะสมัยนี้ ซึ่งเราไม่ใช่นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ แต่เราเป็นเอนเตอเทนเนอร์ เป็นศิลปิน เราก็ควรเอาข้อแข็งของเรามาใช้ให้ดีที่สุดในการสื่อสาร ทั้งเรื่องการเจริญสติ เรื่องสิ่งแวดล้อม ก็ต้องให้มันสนุกและให้มันเข้าถึงง่ายในชีวิตประจำวัน แล้วมันจะฝังไปใต้จิตสำนึกแล้วเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เอง” 

หลังอ่านบทสนทนากับนทจบ เราอยากชวนทุกคนไปฟัง 15 เพลง จากอัลบั้มของเธอได้ที่

หรือหากใครมีโอกาสก็อย่าลืมไปตามจอยโชว์ของนทกันนะ นทฝากมาบอกว่า ไม่ว่าใครที่กำลังท้อ รู้สึกหลงทาง หรือกำลังตามหาอะไรอยู่ ก็อาจจะมาเจออะไรที่นี่ก็ได้นะ : )

ป.ล. ฟังจบแล้วก็มาแชร์กันบ้างนะว่าคิดถึงใครหรือโมเมนต์ไหนในชีวิตกันบ้าง

Credit

Environman

Environman คือหนึ่งในสื่อออนไลน์ที่นำเสนอปัญหาสิ่งแวดล้อม เป้าหมายคืออยากทำให้โลกใบนี้ดีขึ้น ไม่เฉพาะการเป็นสังคมออนไลน์ที่แข็งแกร่ง แต่หวังให้ความรู้นำไปสู่การลงมือทำเพื่อเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นได้จริง