ลองหลับตานึกถึงชื่อขนมไทยในหัว… หลายคนก็อาจจะคุ้นชื่อทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ใช่มั้ยล่ะ แต่ แต่ ถ้าลองขยับออกจากสามทหารเสือแห่งขนมมงคลมาถึงขนมอย่าง “เปียกปูนกะทิสด” ซักหน่อยล่ะ? สิ่งที่ลืมไปไม่ได้ก็คือเจ้าความเขียว เหนียว หวานมันเค็มที่ตัดกันของตัวแป้งกับกะทินี่ล่ะ ที่ก็ต้องยอมรับว่าขนมไทยชนิดนี้หากินยากใช้ได้
หยกสด คือหนึ่งในแบรนด์ขนมไทยหน้าใหม่ที่ไม่เพียงแค่นำเปียกปูนกลับมาให้เราได้ลิ้มลองแต่ยังตีความรสชาติและจังหวะของขนมไทยในแบบของตัวเองผ่านวัตถุดิบที่คนไทยรักและคุ้นเคยอย่าง ‘ใบเตย’
ใบเขียวที่เราคุ้นกลิ่นนี้ไม่ได้เป็นแค่ส่วนผสมหอม ๆ แต่มันคือหัวใจของทุกเมนูของ ‘หยกสด’ ไม่ว่าจะเป็นเปียกปูนกะทิ, หยกมณี, หรืออินทนิลที่หลายคนได้เคยกินตอนเด็ก ๆ และทุกวันนี้ก็อาจจะพบว่ามันหากันยากมากขึ้น หยกสดหนึ่งในตัวแทนคนรักขนมไทยเหล่านี้จึงหยิบมันขึ้นมาตีความใหม่ด้วยความตั้งใจที่อยากให้คนได้รู้จักของอร่อยเหล่านี้มากขึ้น ในรูปแบบที่เข้าถึงง่ายขึ้น ร่วมสมัยมากขึ้น ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นของที่เชยหรือไกลตัว
จุดเริ่มต้นของหยกสด ?
ถ้าใช้คำว่า ‘แบรนด์ขนมไทยที่มาจากคนที่ไม่ค่อยได้กินขนมไทย’ ก็คงจะไม่ผิดซักเท่าไหร่ เพราะหากย้อนไปก่อนหน้านี้ จ๊าก-มหศักย์ สุรกิจบวร ผู้ก่อตั้งแบรนด์หยกสดเล่าว่า ตัวเองนั้นไม่ค่อยได้ทานขนมไทยสักเท่าไหร่ และไม่ได้รู้จักมากชนิดนัก แต่จุดเริ่มต้นก็มาจากตอนที่จ๊ากได้ไปออกบวช และระหว่างนั้นก็มีชาวบ้านเอาขนม ‘เปียกปูนกะทิสด’ มาถวาย ซึ่งส่วนตัวก็รู้สึกชอบจนติดใจและอยากจะทานซ้ำ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหน ไปเดินหาตามห้างสรรพสินค้าก็ไม่พบ จึงเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ลองไปซื้อส่วนผสมมาทำกินเองสนุก ๆ ดู และลองทำให้คุณแม่ คนรอบตัวชิม ปรากฏว่ารสชาติใช้ได้กว่าที่คิด จนเริ่มกระจายเป็นการเปิดพรีออเดอร์ให้เพื่อน ๆ หรือคนรอบตัวอุดหนุนบ้าง
จากเริ่มต้นจนได้ขึ้นห้าง
เมื่อเริ่มได้รับผลตอบรับที่ดีจากคนรอบตัว ประกอบกับช่วงนั้นมีไฟในการจะหาออกบูธขายสินค้าอะไรสักอย่าง จึงหันมาลองลงทุนไปออกบูธขายสินค้าครั้งแรกที่ห้างเดอะ พาซิโอ พาร์ค กาญจนาภิเษก ซึ่งจ๊ากก็เล่าว่า วันแรกก็ขายได้ถึงร้อยกว่ากล่องเลย จนพูดติดตลกว่า บรรยากาศวันนั้นก็มีทั้งยืนสลับขายกับคุณแม่ และตัวเขาเองต้องสิ่งกลับไปทำขนมเพื่อออกมาขายให้ทันอยู่เรื่อย ๆ
เมื่อเห็นช่องทางการสร้างรายได้ก็เริ่มมีการวางแผน มองถึงการวางขายสินค้าตามสถานที่ต่าง ๆ จึงเริ่มไปเซอร์เวย์ตามห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน และในที่สุด หยกสดที่พึ่งก่อตั้งมาไม่กี่เดือนก็กลายเป็นแบรนด์ขนมไทยที่ได้ไปวางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้า ซึ่งสองแห่งแรกคือ เดอะมอลล์บางแค และเซ็นทรัลปิ่นเกล้า
แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดประสบความสำเร็จสูงสุดที่ทำให้หยกสดหยุดพัฒนาซะทีเดียว จ๊ากเล่าว่าด้วยความที่ได้เป็นสินค้าขึ้นห้าง มีคู่แข่งมากมายนี่แหละ เลยยิ่งทำให้ต้องกลับไปทำการบ้านหนักว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าของเรานั้นเตะตาเตะใจ จนคนอยากอุดหนุน โดยช่วงแรกก็มีไอเดียใหม่ ๆ ผุดขึ้นมา เช่น การทำเมนูเปียกปูนกะทิสดเมนูเดิม แต่เป็นรูปแบบสีและรสชาติอื่น ๆ อย่างกาแฟ ส้ม สตรอเบอร์รี่
มากไปก็ใช่ว่าจะดี แต่ต้องกลับมาโฟกัสในคุณค่าที่เรายึดถือ
ถ้าพูดถึง ‘หยกสด’ ก็ต้องนึกถึงขนมเปียกปูน และขนมไทยสีเขียว ๆ ไปซะหมด เพราะสิ่งหนึ่งที่จ๊ากตั้งใจคือการต่อยอดขนมไทยที่หาทานยากและการหยิบเอาใบเตยมาใช้เป็นส่วนผสมหลัก
แม้เมนูเริ่มต้นอย่าง เปียกปูนกะทิสด จะเคยทำสูตรที่เป็นรสชาติอื่นมาก่อน แต่เขาก็เล่าว่า ท้ายที่สุดเปียกปูนใบเตยก็จะเป็นสินค้าที่ขายดีอยู่โดด ๆ ทำให้ต้องคอยปรับแนวคิด ปรับสูตร ปรับผลิตภัณฑ์กันใหม่เรื่อย ๆ เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากที่สุด เช่น ไอเดียอย่าง “หยกมณี” และ “บุหลันมรกต” ที่ปิ๊งขึ้นมาและเป็นที่นิยม
นอกจากนี้ก็ยังมีสินค้ากิมมิคน่ารักเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างสบู่ใบเตยสดหยกสดที่ทางแบรนด์ได้เอากากใบเตยสดมาแปรรูปต่อ แต่ยังคงไว้ซึ่งจุดเด่นเรื่องวัตถุดิบใบเตยที่หอม โดยไม่มีการใส่สีหรือกลิ่นสังเคราะห์ใด ๆ นอกจากจะเป็นการต่อยอดมูลค่าให้กับใบเตยแทนที่จะต้องเอาไปทิ้งแล้วยังเป็นการลดจำนวนของเหลือทิ้งจากการผลิตด้วย
แนวทางเหล่านี้ทำให้เห็นว่าการจะขยายการตลาดนั้นไม่ใช่เพียงแค่การออกผลิตภัณฑ์สินค้าใหม่ ๆ เรื่อย ๆ แต่ต้องเป็นการรู้จักและทำความเข้าใจในคุณค่าของแบรนด์ตัวเองว่าเราอยากส่งต่ออะไรให้กับผู้บริโภคและจุดยืนที่เรายึดถือคืออะไร
สิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจของแบรนด์หยกสดคือการใช้ใบเตยเป็นวัตถุดิบ ซึ่งใบเตยที่ทางร้านเลือกใช้ก็จะรับซื้อจากสวนที่มั่นใจได้และคัดเฉพาะใบเตยที่ได้ตามคุณภาพที่ต้องการ เพื่อให้มั่นใจว่าอยู่ในมาตรฐานของหยกสดจริง ๆ อีกทั้งแบรนด์ยังเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการไทยที่ได้รับการสนับสนุนจาก BOI (Board of Investment) หรือ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในประเภทกิจการผลิตอาหารที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยจากบีโอไอ โดยหยกสดเองมีการผลิตขนมหวานอยู่ที่ประมาณปีละ 760 ตัน และเครื่องดื่มสมุนไพรปีละ 540 ตัน และมีการใช้เครื่องจักรที่ได้มาตรฐาน เน้นการใช้วัตถุดิบในประเทศ 100% และจัดจ้างแรงงานไทยเท่านั้นจำนวนกว่าเกือบร้อยคน เพื่อเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจไทยในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ

ความท้าทายในการทำแบรนด์หยกสด
เมื่อ “ธรรมชาติ” ไม่ได้ควบคุมง่ายเหมือนแผนการตลาด
เวลาพูดถึงความท้าทายในการทำแบรนด์ เรามักนึกถึงคำตอบเดิม ๆ อย่าง เงินทุน การตลาด การแข่งขัน หรือความอยู่รอดในวงการธุรกิจ ซึ่งก็ใช่ล่ะ นี่คือเรื่องจริงที่ใคร ๆ ก็พูดถึง แต่พอเราได้ฟังคำตอบของ จ๊ากแล้วก็ต้องบอกว่า เป็นคำตอบที่คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเป็นเช่นนี้!
“ความเป็นธรรมชาติของใบเตย”
จ๊ากพูดแบบไม่ลังเล และเราก็ร้องอ๋อในใจทันที
“ความเป็นธรรมชาติ” ของใบเตยนี่ล่ะ ที่จ๊ากเล่าว่าเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในการทำแบรนด์หยกสด ทุกคนรู้ แฟนคลับรู้ ด้วยความที่หยกสดเป็นขนมไทยที่ใช้ใบเตยแท้ 100% และไม่มีการใส่สีหรือกลิ่นสังเคราะห์ การที่จะทำออกมาให้ได้มาตรฐานนั้นจึงต้องใช้ความพิถีพิถันในการผลิตอย่างมาก เพราะใบเตยทุกชนิดอาจมีกลิ่นหอมหรือมีสีที่คั้นออกมาได้ไม่เท่ากัน หากใบแก่ก็อาจจะเหม็นเขียว ใบอ่อนก็อาจจะไม่หอม (คุยมาถึงตรงนี้ก็พึ่งรู้ว่าการเลือกใบเตยนี่มันไม่ง่ายเลยนะเนี่ย!)
แล้วคุณสมบัติเหล่านี้ของใบเตยก็กลายเป็นเหมือนครูฝึกวิชาจอมยุทธให้กับจ๊าก โดยเขายังเล่าติดตลกว่า ก่อนหน้านี้ตัวเองเป็นคนที่มือร้อน ใจร้อนมาก แต่การมาเริ่มทำหยกสดก็ทำให้รู้ว่า ‘การเร่งรีบไม่ได้ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเสมอไป’ เร็วเกิน ร้อนเกินก็อาจจะไหม้ รสชาติเปลี่ยน รูปลักษณ์ขนมเปลี่ยนได้เหมือนกัน ท้ายที่สุดแล้วก็ได้เรียนรู้ว่า ทุกอย่างมีจังหวะของมัน บางทีการที่ยอมช้าลงหน่อยก็อาจจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า คุ้มค่ากว่า

แล้วอะไรที่ทำให้เรายังอยากเห็นหยกสดไปต่อได้ในทุก ๆ วัน?
“สิ่งที่ทำให้เรายังอยากทำคือ การย้อนคิดถึงจุดเริ่มต้นเสมอ ตอนที่เราไปเจอขนมไทยที่เป็นของดีมาก ๆ แต่เราเองที่เป็นคนไทยกลับยังไม่เคยรู้จัก มันหากินได้ยาก แล้วเรามองว่าขนมไทยมันขาดคนเข้ามาคิด เข้ามาพัฒนาให้เข้ากับสมัย ตีแผ่ให้มันกว้างออก สิ่งที่เรายังคงทำต่อไปเลยก็คือการปลุกปั้นอะไรที่อยู่บนพื้นฐานวัฒนธรรมไทย มองหาของที่ดีอยู่แล้วและหยิบมาพัฒนาเพื่อให้เหมาะกับคนและยุคสมัยปัจจุบันได้มากขึ้น”
แม้หยกสดจะดูเป็นแบรนด์ที่เกิดขึ้นมาจากของที่อยู่คู่กับคนไทยมาตลอดอย่างขนมไทย และ สมุนไพรท้องถิ่นอย่างใบเตย แต่วันนี้หยกสดก็คงเป็นเหมือนภาพแทนของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ทิ้งเอาภูมิปัญญาหรือวัฒนธรรมเดิมในสังคมไทยแต่เรียนรู้ที่จะเอามาปรับใช้และชุบชีวิตให้ขนมไทยกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง ไม่ว่าจะบนโต๊ะอาหาร บนหน้าฟีดออนไลน์ หรือในใจคนทุกรุ่นก็ตาม