“หมาป่า 216 ถูกล่าหลังทรัมป์ถอดการคุ้มครอง ซึ่งเกินโควต้าไปมากกว่า 82%” นั่นทำให้จำนวนหมาป่าผู้อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารได้ลดลง ซึ่งเหตุการณ์หมาป่าถูกล่าอย่างหนักเคยเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่แค่จำนวนลดลงแต่หมาป่าได้หายไปจากพื้นที่นั้นเลยไม่เหลือสักตัวเดียว
เราจะพาทุกท่านกลับไปสู่เหตุการณ์เมื่อปี 1924 เหตุการณ์ที่หมาป่าได้หายไปจากอุทยานแห่งชาติเยลโล่วสโตน (Yellowstone National Park) ประเทศสหรัฐอเมริกา
เมื่อหมาป่าหายไปจากเยลโลว์สโตนและผลกระทบที่ตามมาใหญ่หลวงยิ่งนัก
หมาป่าที่สูญหาย
ปี 1924 หมาป่าสองตัวสุดท้ายของอุทยานแห่งชาติเยลโล่วสโตนถูกฆ่าลง ทำให้พวกมันได้สูญสิ้นไปจากพื้นที่แห่งนี้ที่มีขนาดใหญ่เท่ากับภาคอีสานของประเทศไทย เนื่องจากชาวอเมริกันในขณะนั้นมองว่าหมาป่าคือสัตว์ดุร้ายที่คอยโจมตีทั้งมนุษย์ และสัตวเลี้ยงอื่น ๆ ผู้คนได้ออกมาล่าหมาป่าและทางภาครัฐก็สนับสนุน จนหมาป่าตัวสุดท้ายได้หายไปจากเยลโล่วสโตน ผู้คนมากมายมองว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะสัตว์นักล่าที่กินสัตว์ตัวอื่นได้หายไปแล้ว
ผลกระทบอันใหญ่หลวง
หลายปีผ่านไป นักธรรมชาติวิทยา และนักวิทยาศาสตร์ต่างสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ยินถึงเสียงนกร้องของหลากหลายสายพันธุ์ เสียงสัตว์นานาชนิดในป่า แต่ในตอนนั้นมันกลับเหลือแต่เพียงความเงียบงัน และเสียงนกไม่กี่ชนิด จากป่าที่มีต้นไม้ใหญ่อย่างหนาแน่นกลับเบาบางลง และที่เห็นได้ชัดเจนคือ แม่น้ำที่เคยไหลตรงก็กลับไหลคดเคี้ยวมากขึ้น
นักวิทยาศาสตร์ได้ลงสำรวจ พวกเขาพบความสัมพันธุ์คร่าว ๆ เมื่อหมาป่าหมดไป อาหารของหมาป่าก็คือกวางเอลก์ก็เพิ่มอย่างรวดเร็ว พวกมันกินต้นพืชต้นอ่อนต่างๆ ที่จะเติบโตมาเป็นต้นไม้ใหญ่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของนกที่ทำรังบนต้นไม้ เมื่อไม่มีที่สร้างรัง นกจึงลดจำนวนลง
นอกจากต้นไม้ต้นอ่อนแล้ว กวางเอลก์ยังกินต้นหลิว (Willow) ที่อยู่ริมแม่น้ำด้วย ซึ่งรากของต้นหลิวนี้จะคอยช่วยพยุงดินริมแม่น้ำไม่ให้ถูกกัดเซาะง่าย เมื่อไม่มีต้นหลิว แม่น้ำจึงคดเคี้ยวมากขึ้น อีกทั้งจำนวนต้นหลิวที่ลดลงทำให้บีเวอร์ผู้สร้างเขื่อนอันดับ 1 ที่เรารู้จัก ไม่สามารถสร้างเขื่อนได้เพราะไม่มีไม้
เมื่อไม่มีเขื่อนของบีเวอร์ จึงไม่มีพื้นที่ชุ่มน้ำที่เคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วย งู กบ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำต่างๆ และนกขนาดใหญ่ที่ล่าสัตว์เหล่านี้ก็ยังลดจำนวนลงไปเพราะไม่มีอาหารให้กิน
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น กระต่าย หนู พังพอนก็ยังลดจำนวนลงด้วยเพราะหมาป่าโคโยตี้( หมาป่าขนาดเล็กคล้ายๆ จิ้งจอก) นั้นเพิ่มขึ้นเพราะไม่มีหมาป่าไปล่ามัน ระบบนิเวศซับซ้อนเหล่านี้ต่างเกี่ยวข้องซึ่งกันและกันทั้งทางตรงและทางอ้อม
ด้วยการหายไปของหมาป่าผู้อยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารนี้เพียงชนิดเดียวกลับทำให้ทุกส่วนในระบบนิเวศพังทลาย
หมาป่าคืนสู่รัง
ปี 1991 เหล่านักธรรมชาติวิทยา นักวิทยศาสตร์ และนักวิจัย ได้ร่วมกันยื่นหนังสือต่อรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้ฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของอุทยานแห่งชาติเยลโล่วสโตน โดยเสนอว่าหมาป่าคือ Keystone Species ที่จะนำความหลากหลายกลับมา
นปี 1995 หลังจากที่รัฐบาลได้อนุมัติแผนการนี้ เหล่านักวิจัยจากอเมริการ่วมมือกับภาครัฐของแคนาดา ได้จับหมาป่าจำนวน 31 ตัวจากตอนเหนือประเทศแคนาดากลับเข้าสู่เยลโล่วสโตน เพียงไม่กี่ปี ความอุดมสมบูรณ์เริ่มกลับมา เกิดผลลัพธ์ต่าง ๆ ที่กระทบกันเป็นลูกโซ่ต่อกันไป
เมื่อหมาป่าทั้ง 31 ตัวจากแคนาดาเข้าสู่เยลโล่วสโตน การกลับมาของมันทำให้กวางเอลก์ต่างหลีกเลี่ยงพื้นที่หลาย ๆ จุดที่เป็นอันตราย และถูกจำกัดจำนวน ทำให้จำนวนต้นไม้ได้กลับมามีโอากาสเติบโต ในพื้นที่ต่าง ๆ ที่กวางเอลก์ได้หลีกเลี่ยง แม่น้ำที่เคยคดเคี้ยวก็กลับมาไหลตรงเป็นช่วง ๆ นกกลับมาร้องเพลงอย่างหลากหลาย มีเขื่อนของบีเวอร์ ความหลากหลายก็เพิ่มขึ้น สิ่งเหล่าเกิดขึ้นเพียงจากทั้งการหายไปและกลับมาของหมาป่าผู้เป็น Keystone Species
Keystone Species
ถ้าหากการค้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์คือสุดยอดการค้นพบที่พลิกวงการฟิสิกส์แล้วล่ะก็ การค้นพบว่าหมาป่า 31 ตัวได้คืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับอุทยานเยลโล่วสโตน ก็เป็นเหมือนทฤษฎีสัมพันธภาพของวงการชีววิทยา เพราะมันพลิกความเชื่อทั้งหมดที่เคยเชื่อกันเกี่ยวกับระบบนิเวศและห่วงโซ่อาหาร ซึ่งผู้ให้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบนิเวศคือ โรเบิร์ต เพน ผู้ให้กำเนิดทฤษฎี Keystone Species
โรเบิร์ต เพน (Robert Paine) ในปี 1963 ได้เริ่มต้นการทดลองสุดคลาสสิกที่จะกลายเป็นมาตราฐานของการศึกษาระบบนิเวศวิทยา นั่นคือการทดลอง “Kick it and see ecology” เขาเริ่มต้นการทดลองโดยเลือกสถานที่ค่อนข้างเป็นระบบปิด มีขอบเขตชัดเจน แล้วศึกษาถึงลำดับห่วงโซ่อาหารว่าตัวไหนกินตัวไหน
พื้นที่ที่เขาเลือกมีดาวทะเลอยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ดาวทะเลนั้นกินสัตว์อื่น ๆ ทากทะเล เพรียงทะเล หรือหอยทะเล แต่ไม่มีตัวไหนมากินมัน
เขาก็เริ่มการทดลองง่ายๆ โดยการจับดาวทะเลออกจากพื้นที่อย่างสม่ำเสมอเดือนละ 1 ครั้ง เวลาเพียงแค่ 1 ปี เพนก็เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง จากตอนแรกที่มีสัตว์จำนวน 15 ชนิด ก็เหลือเพียงแค่ 8 ความหลากหลายและความอุดมสมบูรณ์หายได้ไป แต่เพนก็ยังทดลองต่อไปอีกประมาณ 5 ปี เพื่อความแน่ใจจนพื้นที่นั้นเหลือเพียงสิ่งมีชีวิตสปีชีส์เดียว
การทดลองของเขากลายเป็นทฤษฎีที่รู้จักกันในนาม Keystone Species ที่หมายความว่าสิ่งมีชีวิตสปีชีส์หนึ่งเป็นกุญแจคอยค้ำจุนความอดุมสมบูรณ์ทั้งระบบเหมือนกับหินก้อนเล็กที่คอยค้ำจุนทั้งโครงสร้างของสิ่งก่อนสร้างในวงการสถาปัตยกรรม
ระบบนิเวศที่เปราะบาง
ถึงแม้นักวิจัยหลาย ๆ ท่านอาจแย้งว่าหมาป่าไม่ใช่เหตุผล แต่เราก็ไม่สามารถปฎิเสธได้ว่า ระบบนิเวศนั้นช่างซับซ้อน และเปราะบาง การรบกวนแม้เพียงน้อยก็สามารถส่งผลกระทบกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่สามารถพังตึกให้ทลายได้
โลกใบนี้ก็เช่นกัน ทั้งหมดเกี่ยวพันกันอย่างที่แม้จะใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ทุกปัจจัย เราเห็นผลกระทบเล็ก ๆ มากมายง่าย ๆ เช่นเมื่อแม่นกตาย ลูกนกที่อยู่บนรังก็ตายตาม โลกใบนี้คือแม่นกและเราคือลูกนก “ธรรมชาติอยู่ได้อย่างสบายถึงแม้จะไม่มีมนุษย์ แต่มนุษย์ต่างหากที่จะอยู่ไม่ได้หากขาดธรรมชาติ”