เบื้องหลังการจัดพื้นที่คทช. ให้ชาวบ้านทำเกษตรและฟื้นฟูป่าที่เคยทรุดโทรม

พื้นที่ คทช. จัดสรรเพื่อให้ชาวบ้านทำการเกษตรได้ แต่ต้องฟื้นฟูป่าคืน เพื่อให้ ‘คนก็ไม่ตาย ต้นไม้ก็โต’ เลยต้องมีหน่วยงานเข้ามาช่วย

การ ‘อนุรักษ์ป่า’ ในความคิดคุณเป็นอย่างไร ?

ใช่การแบ่งส่วนคนก็อยู่ส่วนคน ป่าก็อยู่ส่วนป่าหรือเปล่า

ถ้าอ้างอิงตามสิ่งที่พวกเราเคยได้เรียนกันมาตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม 12 ปีกับการปลูกฝังที่บอกว่า การเข้าไปยุ่งกับป่าคือการทำลายป่า การใช้ประโยชน์จากผืนป่าไม่ว่าทางใด 

มันคือการทำลายป่า ทำลายสิ่งแวดล้อม ทำลายระบบนิเวศ และทำลายธรรมชาติ

ทว่า สิ่งที่หลักสูตรการเรียนการสอนไม่เคยบอกเราคือ ‘มนุษย์ยังเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ’ ถึงแม้ว่าพวกเราส่วนมากรวมถึงผู้เขียนเองจะใช้ชีวิตแบบคนเมือง และเข้าป่าเป็นบางครั้งคราวเพื่อพักผ่อน แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังคงใช้ชีวิตร่วมกับป่า มีป่าเป็นบ้านและที่ทำกิน เป็นคนกลุ่มเดียวกันกับที่ในตำราเรียนแปะป้ายไว้ว่าพวกเขาเป็น ‘คนทำลายป่า’ 

ปัญหาความไม่เข้าใจนี้ ลามไปยังเรื่องของการออกกฎหมาย จึงส่งผลให้เกิดเป็นประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัฐและชาวบ้านในหลายพื้นที่ บางแห่งก็ยังเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกอย่างที่เราเห็นข่าวกันอยู่เป็นพักๆ แต่บางแห่งก็ได้แก้ปัญหานี้ไปแล้ว ด้วย ‘โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล’ (คทช.) ที่เป็นภารกิจของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ในการจัดสรรให้กับประชาชนเพื่อทำการเกษตร และปลูกไม้ป่าตามนโยบายรัฐด้วย

อย่างเช่นในอำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน ที่นี่เคยถูกขนานนามว่าเป็นภูเขาหัวโล้น เป็นพื้นที่ป่าสงวนและป่าต้นน้ำ แต่ด้วยโครงการคทช. พื้นที่เหล่านี้ถูกจัดสรรให้เป็นที่ทำกิน ให้ชาวบ้านเข้ามาทำการเกษตรได้ พร้อมกับการปลูกป่าคืนเขาและดูแลไม้ยืนต้น โดยมีเป้าหมายในการฟื้นฟูป่าในบริเวณนั้นด้วย ตามเงื่อนไขให้เกษตรกรดูแลพื้นที่ที่ตัวเองครอบครองด้วยการปลูกไม้ป่าให้ได้ร้อยละ 50 ของพื้นที่ ซึ่งชาวบ้านสามารถเลือกชนิดพันธุ์ไม้พื้นถิ่นที่เหมาะแก่การใช้งานของตัวเองได้  เช่น พะยูง สมอไทย กันเกรา ประดู่ แล้วแต่ผลผลิตที่เจ้าของที่ต้องการ กล่าวคือโครงการนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งกับคนที่ต้องการที่ดินทำกิน และการรักษาทรัพยากรป่าที่เคยทรุดโทรมไป ให้กลับมาสวยงามอย่างเดิม

แต่ถึงแม้ว่าปัญหาความเข้าใจระหว่างคนและป่าในจังหวัดน่าน จะได้รับการแก้ไขแล้ว ทว่าเงื่อนไขที่รัฐกำหนดไว้อย่างการปลูกไม้ป่า-ไม้ยืนต้น กลับกลายเป็นปัญหาใหม่ของผู้ที่เข้ามาใช้พื้นที่ทำกินนี้ จากต้นทุนในการซื้อกล้าไม้หลักร้อยต้น รวมไปถึงค่าดูแลต้นไม้เหล่านั้นด้วย แม้ว่าชาวบ้านจะเลือกปลูกต้นไม้ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจแล้ว แต่ยังไม่ได้ผลผลิตในทันที เพราะว่าต้องรอเวลาให้ต้นไม้เติบโตอีกเป็นปี

รีคอฟ (RECOFTC) องค์กรผู้เชี่ยวชาญด้านวนศาสตร์ชุมชน จึงเข้ามาเติมเต็มในส่วนที่ขาดไป เป็นเหมือนกับจิกซอว์อีกตัวที่เชื่อมระหว่างรัฐและประชาชน ด้วยโครงการ Trees4All โดยการเปิดรับบริจาคเงินจากคนทั่วไปและรับสมัครชาวบ้านในพื้นที่คทช.มาเข้าร่วมโครงการนี้ และนำเงินบริจาคจากที่ได้มาสนับสนุนเกษตรกรในโครงการให้สามารถปลูกต้นไม้ได้ตามเงื่อนไขจากภาครัฐ ทั้งในแง่ของการจัดหากล้าไม้และสนับสนุนค่าดูแลต้นไม้ โดยที่ผู้ให้บริจาคจะสามารถติดตามดูการเจริญเติบโตของต้นไม้จากเงินบริจาคได้เป็นเวลา 3 ปี 

ถึงแม้ว่าเงินที่เกษตรกรได้รับจากโครงการ Trees4All ไปนั้น จะไม่เพียงพอต่อการดูแลต้นไม้ตลอด 3 ปี แต่ก็สามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งได้ และอำนวยให้การปลูกป่าคืนเขาตามเงื่อนไขจากภาครัฐที่ชาวบ้านต้องปฏิบัติตาม ไม่ยากจนทำตามได้ลำบาก ทั้งยังมีการส่งเสริมให้ทำปศุสัตว์ในพื้นที่ เป็นการเพิ่มช่องทางรายได้ในระหว่างปีให้กับชาวบ้านด้วย

ในปัจจุบัน มีต้นไม้ที่ถูกปลูกภายใต้โครงการนี้มากถึง 12,532 ต้น โดยมีเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการแล้ว 97 คนที่ช่วยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูพื้นที่ป่าที่เคยเสื่อมโทรมในจังหวัดน่านให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ ด้วยการเปลี่ยนวิธีทำเกษตร จากที่เคยเป็นการเกษตรเชิงเดี่ยว ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้เกิดภาพ ‘ภูเขาหัวโล้น’ 

ในตอนนี้ได้มีการปรับให้เป็นการเกษตรผสมผสานมากขึ้น ทั้งไม้เศรษฐกิจหลายชนิด และพืชพื้นถิ่นตามนโยบาย ผลพลอยได้จากการปลูกพืชหลากหลายมากขึ้น ก็คือการที่ป่ากลับมาชอุ่มสมบูรณ์นั่นเอง

สรุปสุดท้ายหลักง่ายๆ ในการทำให้คนและป่าอยู่ร่วมกันได้ก็คือการที่ต่างฝ่ายต่างต้องได้ประโยชน์ แบบที่ ‘คนก็ไม่ตาย ต้นไม้ก็โต’ 

โดยมีภาครัฐเป็นแกนหลักในการวางกรอบนโยบายและสร้างแนวทางที่เป็นตรงกลางสำหรับทุกคน แม้ว่าในตอนนี้ น่าน จะเป็นตัวอย่างที่ดีในการจัดการร่วมกันของรัฐและประชาชน แต่ยังคงมีจังหวัดอื่นๆ อย่าง ตาก หรือ ลำปาง ที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ในป่า ก่อนรัฐจะเข้ามามีบทบาทในการจัดการพื้นที่ โดยการจัดการของรัฐยังไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เป็นมาของชาวบ้าน สร้างความรู้สึกไม่มั่นคงในการพักอาศัยในพื้นที่ของตัวเองเพราะขาดกรรมสิทธิ์ในการครอบครอง 

ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งบานปลายได้ ส่วนนี้จึงเป็นเรื่องที่เรายังคงต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป

แต่นอกจากนั้น ยังต้องอาศัยความเข้าใจขององค์กรต่างๆ และคนทั่วไปที่จะเข้ามาสนับสนุนให้กรอบภาพที่รัฐวาดไว้เป็นไปได้จริง ไปจนถึงการสร้างความเข้าใจในวิธีการที่จะสามารถทำให้คนและป่าสามารถเติบโตไปพร้อมกันได้ด้วย

ลิงก์โครงการ  https://trees4allthailand.org/

อ้างอิง

https://www.thaipbs.or.th/news/content/284779

Credit

Related posts

นี่เรากำลังกินอาหารพร้อมกับพลาสติกอยู่หรือเปล่า?  เช็ค 5 ของในครัวที่อาจปนเปื้อนไมโครพลาสติก

เลี่ยงได้เลี่ยง! ของ 5 อย่างในครัวที่แฝงไมโครพลาสติกแบบไม่รู้ตัวและอาจทำลายสุขภาพเรา

เมืองดัตช์ จากเมืองที่จักรยานเป็นภัยคุกคามสู่เมืองปั่นดีระดับโลก

เพราะประเทศแห่งการปั่น ไม่ได้สร้างในวันเดียว!

ทำไมค่าไฟฟ้าถึงแพงขึ้นในช่วงหน้าร้อน ?

หน้าร้อนเมื่อใด ค่าไฟขึ้นทุกที สิ่งนี้มันมีมูลมีเหตุมาจากอันใดกันเล่า

การกินอาหาร Plant-based ช่วยโลกได้อย่างไร

วิจัยมากมายสนับสนุนว่าการทานเนื้อสัตว์เป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิดภาวะโลกร้อน และการหันมาทานผักผลไม้อาจเป็นทางออกที่ยั่งยืนในระยะยาว