Customize Consent Preferences

We use cookies to help you navigate efficiently and perform certain functions. You will find detailed information about all cookies under each consent category below.

The cookies that are categorized as "Necessary" are stored on your browser as they are essential for enabling the basic functionalities of the site. ... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

No cookies to display.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

No cookies to display.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

No cookies to display.

Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

No cookies to display.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customized advertisements based on the pages you visited previously and to analyze the effectiveness of the ad campaigns.

No cookies to display.

สารคดี The Last Breath of Sam Yan กับการพัฒนาที่หลงลืมผู้คนและรากเหง้าชุมชน - EnvironmanEnvironman

สารคดี The Last Breath of Sam Yan กับการพัฒนาที่หลงลืมผู้คนและรากเหง้าชุมชน

Sam Yan Smart City นี้ดีสำหรับใคร? หาคำตอบผ่านแนวคิด Gentrification เปลี่ยนเมือง

เมื่อพูดถึงสามย่าน คุณนึกถึงอะไร? ห้างสรรพสินค้า ถนนบรรทัดทองที่มีของอร่อย ร้านขนมหวาน ร้านหม่าล่ามากมาย หรือสวนสาธารณะใหญ่ใจกลางเมืองอย่างนั้นไหมนะ? เราเชื่อว่าหลายคนคงมีคำตอบในใจที่แตกต่างกันออกไป และสำหรับคนรุ่นก่อนก็เช่นกัน ‘สามย่าน’ ในความทรงจำของพวกเขาอาจมีภาพจำที่ต่างออกไปจากปัจจุบัน 

แผนการพัฒนาพื้นที่ย่านสวนหลวง-สามย่าน ระหว่างปี 2561-2580 เป็นแผนแม่บทที่เกิดจากการผลักดันของสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (PMCU) ภายใต้แนวคิด “Sam Yan SMART CITY” ที่ต้องการผลักดันให้ให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ “โดยเป็นย่านแห่งนวัตกรรมที่สร้างสรรค์คุณค่าแก่ชุมชนและสังคม” 

ก่อนหน้านี้เรามีโอกาสได้ดูสารคดี “The Last Breath of Sam Yan” ที่กำกับ-เขียนบทโดย เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์ และอำนวยการสร้างโดย เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล และ เสฏฐนันท์ ธนกิจโกเศรษฐ์ 2 นิสิตจุฬาฯ ในเวลานั้น เนื้อหาว่าด้วยการต่อสู้ของกลุ่มคนที่ร่วมกันคัดค้านการรื้อถอนและย้าย “ศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง” ออกจากบริเวณเดิม ตามคำสั่งของสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (PMCU) เพื่อก่อสร้างโครงการพัฒนา และมีการฟ้องเรียกค่าเสียหาย 4.6 พันล้านบาทแก่ผู้ดูแลศาลเมื่อเดือนมิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา

Photo: House Samyan

ในสารคดีมีการหยิบยกประเด็น ‘Gentrification’ มาใช้เล่าในกรณีศึกษาของชุมชนสามย่าน จากเดิมที่เคยเป็นชุมชนตึกแถว แต่ในปัจจุบัน ชุมชนเหล่านี้ถูกรื้อถอนและเปลี่ยนผ่านเป็นห้างสามย่านมิตรทาวน์ อุทยาน 100 ปี จุฬาฯ และร้านอาหารอีกมากมายอย่างที่เห็นได้ตามถนนบรรทัดทอง 

Gentrification คืออะไร?

ตามคำแปลจากพจนานุกรมของ Oxford ระบุว่า Gentrification คือ กระบวนการที่พื้นที่เขตยากจนในเมืองเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยมีผู้คนที่มีฐานะร่ำรวยย้ายเข้ามา มีการปรับปรุงตึกที่อยู่อาศัย และดึงดูดธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะทำให้ผู้อยู่อาศัยในปัจจุบันต้องย้ายออกไป

สำหรับในภาษาไทย บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้อธิบายถึงความหมายของ Gentrification ผ่านบทความบนเว็บไซต์ Decode ว่าเป็น “การทำให้เป็นย่านผู้ดี ที่เปลี่ยนการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ในเมืองจากพื้นที่ที่คนที่สถานะดีกว่าเข้าไปใช้พื้นที่แทนชนชั้นล่างหรือคนชายขอบที่เคยใช้พื้นที่อยู่เดิม”

แน่นอนว่าการพัฒนาเหล่านี้ เต็มไปด้วยความสวย สะดวกสบาย ตอบโจทย์การพัฒนารุ่นใหม่ ซึ่งเป็นที่ยอมรับและชื่นชอบในปัจจุบัน แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งก็มีเสียงคัดค้านจากนักวิชาการเช่นกันว่า การพัฒนาเช่นนี้อาจทำให้เมืองเติบโตเป็นเชิงเดี่ยว ซึ่ง ‘ไร้ซึ่งความหลากหลาย’ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม จนสุดท้ายก็จะกีดกันผู้คนที่กำลังจ่ายไม่พอ สู้ค่าครองชีพไม่ไหวออกไปจากพื้นที่แห่งนี้ 

อีกทั้งในแง่วัฒนธรรม รากเหง้าของชุมชนจะเลือนหายเพราะพื้นที่ถูกแปรสภาพไปเป็นสิ่งอื่นที่ตอบโจทย์ผลกำไรมากกว่า ซึ่งข้อสังเกตเหล่านี้ถูกฉายภาพให้เราเห็นได้ชัดมากขึ้นทีละเล็กละน้อยจากสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่สามย่านที่เปลี่ยนแปลงไป อาทิเช่น อาคารพาณิชย์ กิจการดั้งเดิมในพื้นที่ที่หายไป ไปจนถึงสถานที่ที่เป็นศูนย์รวมทางจิตใจของผู้คนในชุมชนที่เป็นกรณีศึกษาให้เราได้อย่างชัดเจน

ไร้ Right to the city 

การมีส่วนร่วมกำหนดพื้นที่ที่ขาดหาย

แน่นอนว่าหากมองในแง่กฎหมายคงเป็นเรื่องที่ทำได้อย่างชอบธรรม เพราะเจ้าของที่ดินย่อมมีสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงและกำหนดทิศทางในพื้นที่ของเขาว่าอยากจะทำอะไร พัฒนาเป็นอย่างไร

และเมื่อมองต่อมาอีกสักนิด “คุณคิดว่าคนที่ใช้ชีวิตในพื้นที่นี้ควรมีส่วนร่วมในการกำหนดการพัฒนาพื้นที่ด้วยหรือไม่?” หากพื้นที่ตรงนี้ไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัวแบบปิดเสียทีเดียว เป็นพื้นที่เปิดที่มีผู้คนทำมากิน แวะเวียนมาใช้ชีวิต รวมถึงชาวบ้านดั้งเดิมที่อาศัยอยู่บนที่ดินผืนนั้นมายาวนาน เพราะคนที่ได้รับผลกระทบในทุก ๆ การเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นคนที่ใช้ชีวิตในพื้นที่และรอบ ๆ พวกเขาจึงควรมีสิทธิในการมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางเมือง (Right to the city) แม้จะเป็นเพียงผู้เช่าหรือผู้ที่มาทำงานอยู่ตรงนี้ก็ตาม เพราะนี่คือสิ่งที่กระทบชีวิตและบ้านของพวกเขาเช่นกัน

ในขณะเดียวกัน หากเราไปย้อนดูแนวคิดของ ‘Sam Yan SMART LIVABLE CITY’ บนเว็บไซต์ของ PMCU จะเห็นว่ามีการระบุถึง แนวคิด ‘SMART PEOPLE’ ว่า

““คน” คือทรัพยากรสำคัญที่มีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนและพัฒนาเมืองให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น ดังนั้น PMCU จึงเล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาคน การได้เลือกใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ รวมถึงสร้างโอกาสในการเรียนรู้ที่หลากหลาย ภายใต้แนวคิด “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” หรือ “Life-long Learning” 

ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ได้เพียงแต่เป็นการให้ความรู้ในเชิงวิชาการเท่านั้น แต่เราเชื่อในพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ และการเรียนรู้แบบนอกกรอบ ที่ทุกคนในชุมชนสามารถที่จะเข้าถึงได้เท่า ๆ กัน และการสร้างสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่เอื้อให้เกิดการเรียนรู้ในทุก ๆ ฝีก้าว ทุกที่ ทุกเวลา ภายในย่านอันทรงสเน่ห์แห่งนี้”

(-อ้างอิงจาก https://pmcu.co.th/Sam Yan-smart-city/ )

ตัดสลับกลับมาที่ภาพการเปลี่ยนแปลงของชุมชนสามย่าน พื้นที่ศาลเจ้าแม่ทับทิมที่กำลังถูก(บังคับ)รื้อถอน ก็ทำให้เกิดคำถามว่า ‘ทุกคนในชุมชน’ ในนิยามของการพัฒนานี้หมายถึงใครบ้าง และคำว่า ‘ชุมชน’ แบบใด ที่อยู่ในสมการนี้

หลังจากดูสารคดี The Last Breath of Sam Yan จบ เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็น่าจะสงสัยและมาตามรอย สืบหา “ศาลเจ้าแม่ทับทิม” เช่นกัน เราเองเป็นหนึ่งในนั้น และพบกว่าในพื้นที่สามย่านนั้นมีทั้ง “ศาลเก่า” และ “ศาลใหม่” ซึ่งศาลเจ้าแม่ทับทิมดั้งเดิมที่เราเรียกว่าศาลเก่านี้หายากมาก เพราะหลบซ่อนตัวอยู่ในซอกที่ถูกรายล้อมด้วยไซต์ก่อสร้างอาคารสูงใจกลางสามย่าน (มุมด้านหน้าคือภาพเดียวกับที่เราเห็นบนโปสเตอร์สารคดี) 

ส่วนศาลใหม่นั้น ตั้งอยู่บริเวณใกล้สวนอุทยาน 100 ปี จุฬาฯ ตกแต่งด้วยดีไซน์แบบ ‘จีน ๆ’  หากมองดูเผิน ๆ ก็คงจะดูสวยงามไม่น้อย แต่หากใครได้ดูสารคดี The Last Breath of Sam Yan ก็จะพบว่ามีรายละเอียดในหลายจุดที่ทำให้เห็นว่าศาลนี้ดูจะเป็น ‘ประวัติศาสตร์ที่พึ่งสร้าง’ ขาดซึ่งความเชื่อมโยงกับรากวัฒนธรรมและความเชื่อที่ชาวบ้านเคารพสักการะ

ศาลเจ้าแม่ทับทิมใหม่ บริเวณใกล้สวนอุทยาน 100 ปี จุฬาฯ

ช่วงหนึ่งของสารคดีฉายให้เห็นถึงความ ‘อิหยังวะ’ ของการเปลี่ยนผ่านจากศาลเก่าไปสู่ศาลใหม่ แม้ทาง PMCU ระบุว่าได้มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญและซินแสมาร่วมกระบวนการออกแบบและทำงานร่วมกันในหลายส่วนแล้ว แต่ในขณะเดียวกันทางชุมชนก็บอกว่า ซินแสที่หามานั้นเป็นชาวฮ่องกง ซึ่งมีความเชื่อคนละแบบกับความเชื่อทางจีนแต้จิ๋วที่ชุมชนนับถือ รวมถึงรายละเอียดด้านสถาปัตยกรรม เช่น ตัวสะกดภาษาจีนที่ตกหล่น ภาพประติมากรรมบนผนังที่รายละเอียดต่างไปจากศาลเดิม จนเกิดเป็นคำเปรียบเปรยจากซินแสฝั่งแต้จิ๋วที่มองว่าศาลนี้เป็น “อาคารไทยสำเนียงจีน”

ซึ่งก็นำมาซึ่งคำถามเดิมว่า นี่คือการพัฒนาเมืองที่คนมีส่วนร่วมแบบใด? 

หรือจะเป็นเพียงคนใหม่และชุมชนใหม่ ‘ที่พึ่งสร้าง’ ที่สามารถมีส่วนร่วมได้?

“คุณทำใจให้เขาไล่คุณจากบ้าน

ที่คุณอยู่มาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า

หรืออยู่มาหลายสิบปีได้ไหม?”

นี่คือหนึ่งในสิ่งที่วิทยากรเปรียบเปรยให้เราเห็นภาพได้อย่างชัดเจน แน่นอนว่าเราอาจทำใจไม่ได้ แต่ทางเลือกสุดท้ายอาจมีเพียงการต้องยอมทำใจแล้วย้ายออก หรือต่อสู้จนถึงที่สุด อยู่ต่อ และเสี่ยงโดนเรียกค่าเสียหาย 4.6 พันล้านบาท เฉกเช่นที่สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฟ้องเรียกค่าเสียหายต่อผู้ดูแลศาลเจ้า

ในกรณีของชุมชนสามย่าน และ “ศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง” ทั้งพี่นก (ผู้ดูแลศาล) และกลุ่มนิสิต จุฬาฯ ที่ร่วมกันต่อสู้เรื่องนี้พูดอย่างตรงกันว่าไม่มีการมาสอบถามหรือร่วมหาทางออกใด ๆ มีเพียงการมาแจ้งหนึ่งครั้งว่าอาจต้องมีการย้ายศาลฯ และหลังจากนั้นไม่นานก็มีการนำจดหมายมาให้และแจ้งว่าจะต้องย้ายออกภายในเวลาที่กำหนด โดยนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบัน ยังคงไม่มีการชี้แจงเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาต่อสาธารณชนจากสำนักทรัพย์สินฯ รวมถึงไม่มีการชี้แจงจากผู้บริหารต่อกลุ่มนิสิตหรือชุมชนด้วย 

สารคดีเรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียงการส่งเสียงลมหายใจสุดท้ายของศาลเจ้าแห่งหนึ่ง หากแต่เป็นการตั้งคำถามถึงการใช้อำนาจบนที่ดินแห่งนี้ในการสร้างผลกำไร มากกว่าสร้างประโยชน์ต่อชุมชน ผู้คน และนิสิตโดยรอบของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง

‘ความเป็นหนึ่งเดียวกัน

คือสิ่งที่ทุนนิยมจะทำลายเราไป’

กลางวงทอล์คเล็ก ๆ หลังสารคดีฉายจบที่ Documentary Club แฟรงก์-เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตจุฬาฯ ที่มีส่วนในการร่วมปกป้องศาลเจ้าแม่ทับทิม สะพานเหลือง เล่าถึงอีกมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจคือ “ความผูกพัน” ของผู้คนที่อาจหายไปจากการเปลี่ยนแปลงทางพื้นที่ จากชุมชนไปสู่คอนโด ห้าง ร้านค้าที่ทุกคนเปรียบเสมือนแรงงานในระบบทุนนิยมและส่งผลสู่การขาดซึ่งปฏิสัมพันธ์ต่อกัน 

ความเปลี่ยนแปลงนี้อาจเรียกว่า “Social Engineering” หรือ “การวิศวะกรรมทางสังคม” เมื่อพื้นที่เปลี่ยนก็ทำให้พฤติกรรมของคนในพื้นที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อชุมชนถูกสลายไป ก็ไร้ซึ่งผู้คน ไร้ซึ่งการรวมตัว และความเป็นหนึ่งเดียว 

ท้ายที่สุดเมื่อต้องการจะเรียกร้องหรือขับเคลื่อนอะไร การต่อสู้ก็อ่อนแอ ไม่สำเร็จผล เพราะไร้ซึ่งพื้นที่ให้ผู้คนได้รวมตัว อีกทั้งผู้คนดั้งเดิมก็หายไปหมดแล้ว เหลือเพียงแรงงานจากพื้นที่อื่นที่เข้ามาทำงาน มีเพียงผู้คน นิสิตที่แวะเวียนมาเดินห้าง ใช้ชีวิตและผ่านไป

สิทธิชุมชนที่มักถูกมองข้ามไป

จากแฮชแท็ก #saveศาลเจ้าแม่ทับทิม ที่เป็นกระแสบนแพลตฟอร์มทวิตเตอร์เมื่อปี 2563  สู่สารคดี ‘The Last Breath of Sam Yan’ โดยผู้กำกับเปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์ ที่ออกฉายเมื่อปี 2566 สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นเพียงเครื่องถ่ายทอดเรื่องราวของศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึง ‘สิทธิชุมชน’ ที่ผู้ควรในพื้นที่ควรมีส่วนร่วมในการพัฒนาหรือกำหนดทิศทางความเป็นไปของพื้นที่นั้น ๆ 

ล่าสุด สารคดี ‘The Last Breath of Sam Yan’ เรื่องนี้ได้รับรางวัลสุพรรณหงส์ครั้งที่ 32 ในหมวด ‘ภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม’ ปี 2567 โดย เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ในฐานะหนึ่งในผู้อำนวยการสร้าง ได้กล่าวในช่วงการขึ้นรับรางวัลว่า 

“ขอบคุณทุกคน ทีมงาน น้องนัน คุณฟิล์ม พี่นก ผู้ดูแลศาลเจ้า และโดยเฉพาะคุณพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ ที่ล่วงลับไปก่อน”

“การได้รางวัลนี้เป็นการยืนยัน เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการต่อสู้เพื่อรักษาชุมชนรอบ ๆ จุฬาฯ ของเรา รวมถึงชุมชนทุกที่ในประเทศไทยที่มีความสำคัญแต่ถูกละเลยมาตลอด สารคดีเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นตัวอย่าง เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น ๆ สู้เพื่อสิทธิชุมชนต่อไปครับ ขอบคุณครับ”

‘เมืองแปลกหน้า’ ที่เราไม่รู้จักกัน?

หลังดูสารคดีเรื่องนี้จบ หนึ่งคำถามสุดท้ายที่ยังค้างอยู่ในใจเราคือ ‘แล้วการพัฒนาเมืองจะต้องเป็นไปอย่างไร ในโลกที่ระบอบทุนนิยมยังคงหมุนไปและการพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ยังคงเดินหน้าไปเรื่อย ๆ ไหนจะต้องตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อมที่รอช้าไม่ได้อีกล่ะ?’ 

ใช่แล้ว เรายังคงไม่ได้คำตอบ, และเราเชื่อว่าในทุกพื้นที่ไม่มีคำตอบเรื่องนี้อย่างตายตัว และไม่มีการพัฒนาแบบใดที่นำไปใช้ได้กับทุกสิ่ง หากแต่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วม การทำความเข้าใจในทุกสิ่งมีชีวิต บริบทในทุกมิติของพื้นที่นั้น ๆ เพราะมนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเดียวบนโลก และเราก็ไม่ใช่จุดศูนย์กลางเดียวของจักรวาลนี้

‘เมือง’ ยังคงต้องอาศัยการเติมเต็มของธรรมชาติและผู้คนจากหลากหลายบทบาทอาชีพ 

‘เมือง’ ยังคงต้องอาศัยสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์และหลากหลายให้ธรรมชาติยังคงหมุนไป 

สุดท้ายแล้ว หากที่แห่งนี้มีเพียงแค่ตึกสูง มีเพียงผู้คนที่ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำงานหาเลี้ยงชีพ ที่แห่งนี้อาจกลายเป็น ‘เมืองแปลกหน้าที่เราไม่รู้จักกัน’ ไปในไม่ช้า

________

สำหรับใครที่สนใจ สามารถรับชมสารคดี ‘The Last Breath of Sam Yan’ ทาง Netflix ได้แล้ววันนี้

อ้างอิง

เสวนา “สิทธิการอยู่อาศัยและศิลปวัฒนธรรมในยุคเสรีนิยมใหม่” (Doc Club & Pub., 25 มิถุนายน 66)

https://pmcu.co.th/Sam Yan-smart-city/

https://decode.plus/20240507-gentrification-critics/

No tags found for this post.

Credit

Chayanit S.

เป็นคนกรุงเทพฯ ชอบเดินเที่ยวเมือง ฟังเพลงซ้ำ ๆ นั่งโง่ ๆ ดูคนคนใช้ชีวิต :-)