แม้ว่าในปัจจุบัน อาหารจะดูเหมือนเป็นปัจจัยที่หาบริโภคได้ง่าย เดินไป 2-3 ก้าวก็เจอร้านของกิน แต่เชื่อไหมว่าบนโลกนี้ยังมีประชากรอีกกว่าพันล้านคนที่เผชิญกับความยากจนและขาดแคลนอาหาร นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่พวกเราทุกคนควรหันกลับมาให้ความสนใจและบริโภคอาหารกันอย่างมีความรับผิดชอบเพื่อสิ่งแวดล้อมและความอยู่รอดของมนุษย์เราด้วยกันเองด้วย
ด้วยวันที่ 16 ตุลาคม คือวันอาหารโลก เราเลยอยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ SOS Thailand (Scholars of Sustenance) หรือมูลนิธิรักษ์อาหาร องค์กรที่ช่วยสร้างความสมดุลในการเข้าถึงอาหารบนโลกนี้กัน เพราะพวกเขาเชื่อว่าการเข้าถึงอาหารในการดำรงชีพนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรได้รับอย่างไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ สีผิว เพศ หรืออุดมการณ์ใด ๆ SOS Thailand จึงทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการพิทักษ์อาหารส่วนเกิน (Food Surplus) จากผู้ประกอบการร้านอาหารหรือโรงแรมต่าง ๆ แล้วนำไปแจกจ่ายต่อให้กับประชากรกลุ่มเปราะบางและมีรายได้น้อยต่อไป

เมื่อพูดถึงนิยามความเป็น SOS Thailand นั้นอาจพูดให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าเป็นผู้ทักษ์หรือหน่วยกู้ภัยอาหารส่วนเกินที่มีเป้าหมายเพื่อช่วยลดการเกิดปริมาณขยะอาหารรวมถึงอยากสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงปัจจัยสี่อย่าง ‘อาหาร’ ของคนไทยให้มากขึ้น
จุดเริ่มต้นนั้นมาจากผู้ก่อตั้งชาวเดนมาร์กที่มีโอกาสได้มาทำงานในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพบเจอกับวิธีการกำจัดอาหารส่วนเกินตามบุฟเฟต์โรงแรมที่พนักงานนำอาหารไปเททิ้ง จึงเกิดเป็นโจทย์ว่าทำอย่างไรให้อาหารที่ยังบริโภคได้เหล่านี้สามารถถูกส่งต่ออย่างเป็นประโยชน์ได้ ประกอบกับประสบการณ์ธุรกิจด้านโลจิสติกขนส่งอยู่แล้ว จึงเกิดเป็นไอเดียในการก่อตั้งมูลนิธินี้เพื่อเป็นตัวเชื่อมอาหารส่วนเกินจากร้านอาหาร โรงแรมต่าง ๆ และจัดสรรไปกระจายต่อในพื้นที่เปราะบางทั่วประเทศ
ซึ่งอาหารส่วนเกินที่ได้รับบริจาคมานี้ส่วนมากจะมาจากโรงแรมหรือผู้ประกอบการเจ้าใหญ่ก่อนเนื่องจากประการแรกคือความเข้าใจในคุณค่าของอาหารอยู่แล้ว เชฟในโรงแรมส่วนมากนั้นค่อนข้างให้ความสำคัญกับอาหารที่เขาลงมือทำ และย่อมไม่อยากให้เททิ้งโดยเปล่าประโยชน์ และประการต่อมาคือความคุ้มค่าในเรื่องของการเดินทาง เนื่องจากการออกไปรับวัตถุดิบอาหารส่วนเกินเหล่านี้ย่อมมีต้นทุนในการเดินรถตู้เก็บความเย็น การเริ่มจากเจ้าใหญ่ที่ให้ปริมาณวัตถุดิบมากจึงเป็นการช่วยประหยัดเวลาและค่าเดินทางไปได้เยอะ
ปัญหาหนึ่งที่ทุกคนเห็นชัดเจนคือ โลกเราทุกวันนี้มีอาหารถูกผลิตออกมาในปริมาณมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีประชากรกว่าหนึ่งพันล้านคนที่ไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่เห็นความเหลื่อมล้ำได้อย่างชัดเจน

การกระจายอาหารต่อของ SOS Thailand นั้นเลือกให้ความสำคัญกับกลุ่มประชากรเปราะบางเป็นอันดับแรกไม่ว่าจะเป็นคนพิการ เด็กกำพร้า คนไร้บ้าน หน่วยงานที่ขาดแคลนงบประมาณ เช่น สถานพินิจ ศูนย์เด็กเล็ก ฯลฯ รวมไปถึงชาวบ้านตามเขตชาวแดนที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบด้วย เพราะ SOS Thailand นั้นเชื่อว่าอาหารเป็นปัจจัยสำคัญที่มนุษย์ทุกคนจะต้องเข้าถึงได้ และจะไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา เพศ สีผิว หรือสิ่งใด ๆ ในการส่งต่อ
โดยปกติแล้ว โครงการหลักของ SOS Thailand คือ “รักษ์อาหาร” Food Rescue Program คือเอารถตู้เย็นออกไปรับอาหารส่วนเกินจากซุปเปอร์มาเก็ตหรือร้านอาหาร 30 – 40 แห่ง/วัน และนำไปกระจายต่อให้ชุมชนโดยตรง
ซึ่งปัญหาเรื่องขาดแคลนอาหารบริโภคนั้นเห็นได้ชัดในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา
มูลนิธิฯ เองก็ได้ตระหนักว่าหลาย ๆ ครัวเรือนในกรุงเทพฯ ที่ได้รับผลกระทบนั้นเป็นชุมชนรายได้น้อยและไม่มีครัวหรืออุปกรณ์ที่จะสะดวกประกอบอาหารที่ถูกสุขอนามัยและสารอาหารครบถ้วน ซึ่งบางครอบครัวรายได้อาจไม่ถึง 10,000 บาท ด้วยซ้ำ SOS Thailand จึงได้เริ่มโครงการครัวรักษ์อาหาร (Rescue Kitchen) ขึ้นมา เพื่อทำอาหารปรุงสุกไปแจกจ่ายให้กับชุมชนใกล้เคียงโดยมีอาสาสมัครเข้ามาช่วยทำอาหาร ซึ่งตรงนี้ก็ตอบโจทย์มูลนิธิฯ ในการจัดการกับปริมาณวัตถุดิบที่เยอะ ๆ ด้วย เพราะบางทีได้รับเนื้อสัตว์หรือพืชผักมาจำนวนหลายร้อยกิโลกรัม ถ้าหากนำไปแจกจ่ายให้ชุมชนแล้วเขาไม่พร้อมนำไปปรุงสุกก็อาจจะทำให้ยิ่งเกิดอาหารขยะเน่าเสียเพิ่มขึ้นไปอีก จึงมีการระดมอาสาสมัครจากในพื้นที่มาช่วยกันทำด้วย

สิ่งหนึ่งที่คนอาจมองข้ามไปคือโทษของขยะอาหารที่บางคนอาจมองว่ามันย่อยสลายได้ ไม่น่าจะสร้างโทษอะไร แต่จริง ๆ แล้วขยะเหล่านี้สร้างก๊าซเรือนกระจกเป็นจำนวนมาก และหากจัดการไม่ดีก็จะไปปนเปื้อนขยะอื่นทำให้นำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้อีกด้วย
สิ่งที่ SOS Thailand อยากฝากถึงผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตทั้งหลายคือ การจัดการอาหารตามขั้นตอนในพีระมิดการจัดการขยะเพื่อให้เกิดขยะอาหารน้อยที่สุด ซึ่งเริ่มจากการป้องกันไม่ให้อาหารเหลือทิ้ง – ส่งต่อให้ผู้คน – นำไปเป็นอาหารสัตว์ – เผาเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ – ฝังกลบ ซึ่งในขั้นตอนที่สอง หากมีอาหารส่วนเกินก็อาจจะนำมาส่งต่อให้ SOS Thailand หรือองค์กรที่ช่วยกระจายอาหารแบบนี้ได้เช่นกัน
ส่วนผู้บริโภคเอง แม้เราจะอยู่ในประเทศที่อาหารหาได้ง่าย แต่ก็ไม่ควรเป็นส่วนหนึ่งของการกินทิ้งกินขว้าง นำมาตุนจนเยอะเกินไป อาจเริ่มจากการคำนวณปริมาณวัตถุดิบที่ซื้อมา ใช้ให้คุ้มที่สุด ใช้ให้หมด และนำไปปรับรวมเป็นมื้ออื่น ๆ เพื่อให้เกิดขยะอาหารน้อยที่สุด ดังนั้น ก็ควรจะต้องวางแผนก่อนซื้อ กินให้หมด และแยกขยะหลังทาน