สีเขียวบนธงไพร์ด ไม่ใช่แค่เรื่องของสิ่งแวดล้อมแต่เป็นเรื่องของ “สิทธิ” ในการมี “ชีวิต” ของเราทุกคน

สีเขียวบน ‘ธงสีรุ้ง’ ในช่วง Pride Month ตัวแทนแห่ง ‘ธรรมชาติ’ และเสียงสะท้อนถึงเหล่าสิ่งมีชีวิต ทรัพยากร และสรรพสิ่งต่าง ๆ

สิ่งแวดล้อมกับ [ PRIDE ] ‘ธงสีรุ้ง’ สัญลักษณ์อันคุ้นเคยในช่วง Pride Month ถูกโบกสะบัดพริ้วไหวไปทั่วเมือง ตัวแทนแห่งความหลากหลายของสังคมที่ถูกหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ต่างมีเอกลักษณ์และความเท่าเทียมเสมอภาคกัน หนึ่งในเฉดสีที่ปรากฏอยู่บนพื้นผ้าใบสีรุ้ง คือ ‘สีเขียว’ ตัวแทนแห่ง ‘ธรรมชาติ’ เสียงสะท้อนถึงเหล่าสิ่งมีชีวิต ทรัพยากร และสรรพสิ่งต่าง ๆ

นับจากที่กรุงเทพมหานครได้มีงาน Pride Parade ขึ้นมา Greenpeace Thailand ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการชูความหมายของ ‘สีเขียว’ ให้หนักแน่นขึ้น โดยได้เข้าร่วมกิจกรรมนฤมิตรไพรด์เมื่อมิถุนายน ปี 2565 พร้อมทั้งถือป้ายรณรงค์ความยุติธรรมทางเพศและความยุติธรรมทางสภาพภูมิอากา

ในขณะที่ปีต่อมา มิถุนายน ปี 2566 กิจกรรม Bangkok Pride Parade 2023 ได้มีการสร้างสรรค์ขบวนภายใต้แนวคิด ‘Peace & Earth รักษ์โลก รักสันติภาพ’ ปกป้องคุ้มครองสิทธิของโลก และทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อตอกย้ำว่าประชาชนทุกคนล้วนมีสิทธิ์อยู่อาศัยบนโลกที่ปลอดภัยกับสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี และเคารพความหลากหลายซึ่งกันและกัน เป็นเวลากว่า 2 ปีที่ขบวนไพรด์ในประเทศไทยได้มีการพูดถึงประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ย้ำเตือนถึง ‘สีเขียว’ บนธงรุ้งไม่ให้เลือนหาย

เมื่อ ‘ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม’ ถูกพูดถึงใน Pride Parade มากขึ้น บทความนี้ จึงอยากชวนทุกคนมาอ่านความสำคัญของ ‘สีเขียว’ บนธงรุ้งกัน

ทำไมถึงต้องพูดเรื่อง ‘ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม’ ใน Pride Parade ?

จากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme: UNEP) ได้รายงานว่าปัจจุบันโลกกำลังอยู่ใน ‘ภาวะฉุกเฉินด้านสภาพอากาศ’ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเรากำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติอย่างรุนแรง อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ผนวกกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ส่งผลให้ทรัพยากรธรรมชาติมีจำนวนลดลง สิ่งหนึ่งที่เราต้องตระหนักไว้ คือ “เราทุกคนล้วนเป็นธรรมชาติ”

พวกเราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องอาศัยและพึ่งพาทรัพยากรเพื่อความอยู่รอด เมื่อทรัพยากรลดลง สภาพภูมิอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลง ย่อมส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเราทุกคน แต่มากกว่านั้น คือ ผลกระทบที่เกิดขึ้นในแต่ละบุคคลต่างไม่เท่ากัน เช่น บุคคลที่มีฐานะร่ำรวยอาจได้รับผลกระทบจากวิกฤตธรรมชาติช้ากว่าบุคคลที่มีรายได้ต่ำ รวมไปถึงปัจจัยด้าน ‘เพศ’ ก็นับเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีความแตกต่างกัน

ตัวอย่างที่ชัดเจนมีปรากฏอยู่ในบทความวารสารของ Greenpeace Thailand ความว่า องค์การสหประชาชาติมีรายงานถึงจำนวนผู้อพยพย้ายถิ่นฐานจากวิกฤตการณ์ทางภูมิอากาศเป็น ‘เพศหญิง’ มากถึงร้อยละ 80 สอดคล้องกับรายงานของ Global Center on Adaptation ที่ระบุว่า ‘ผู้หญิง’ ได้รับผลกระทบจากภาวะสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างหนักถึงร้อยละ 70

ในขณะที่งานวิจัยหัวข้อ Climate change and gender-based violence, interlinked crises in East Africa ระบุว่าผู้หญิงและเด็กผู้หญิงมีโอกาสได้รับอันตรายมากถึง 14 เท่าในช่วงภัยพิบัติที่เกิดจากสภาวะภูมิอากาศแปรปรวน รวมไปถึงการเลือกปฏิบัติในฐานะผู้ประสบภัยจากสังคม 

เมื่อเกิดภัยพิบัติและการเลือกปฏิบัติไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับเพศหญิง

บทความวารสารของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้มีการกล่าวถึงงานวิจัยถึง 2 หัวข้อด้วยกัน เริ่มกันที่หัวข้อแรก Environmental Injustice and Sexual Minority Health Disparities: A National Study of Inequitable Health Risks from Air Pollution among Same-Sex Partners ที่รายงานถึงการเลือกปฏิบัติในการรักษาสุขภาพต่อกลุ่มคนผู้มีหลากหลายทางเพศ (LGBTQIA+) โดยปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นมีต้นตอมาจากปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ

ในขณะที่งานวิจัยหัวข้อถัดมา Queering Environmental Justice: Unequal Environmental Health Burden on the LGBTQ+ Community เป็นการศึกษาถึงสุขภาวะและความเสี่ยงของกลุ่ม LGBTQIA+ ที่เกิดจากมลพิษทางสิ่งแวดล้อม

อนึ่ง งานวิจัยทั้งสองได้ใช้พื้นที่ของสหรัฐอเมริกาเป็นกรณีศึกษา โดยมีผลสำรวจของ National Air Toxics Assessment (NATA) และสำนักการสำรวจสำมะโนประชากรสหรัฐฯ ระบุว่ากลุ่มคู่รักเพศเดียวกันมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับมลพิษทางอากาศ รวมไปถึงป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจมากกว่ากลุ่มคู่รักต่างเพศ

ทั้งนี้ มีสาเหตุหลักมาจากการที่กลุ่มคนผู้มีหลากหลายทางเพศ (LGBTQIA+) ถูกกีดกันจากสังคมด้วยปัจจัยต่าง ๆ ทั้งพิษทางเศรษฐกิจ ปัญหาการว่างงาน ตลอดจนคติความเชื่อภายในครอบครัว จนบีบบังคับให้บุคคลเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นคนไร้บ้าน ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ทำให้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับมลพิษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งงานวิจัยรายงานว่ามีเยาวชนไร้บ้านที่นิยามตนเป็นกลุ่ม LGBTQIA+ มากถึงร้อยละ 20 – 45

นอกจากนี้ งานวิจัยยังเปิดเผยว่ากลุ่มคน LGBTQIA+ ส่วนใหญ่ เมื่อเจ็บป่วยจากสภาวะทางสิ่งแวดล้อมที่เป็นมลพิษ พวกเขาเลือกที่จะไม่รับการรักษาพยาบาล เนื่องจากมีข้อกังวลด้าน ‘การเลือกปฏิบัติ’ เมื่อมีข้อมูลว่ากลุ่มคนเพศหลากหลายจะได้รับสิทธิคุ้มครองไม่เท่ากับบุคคลอื่น อีกทั้งยังมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำนวนรัฐในสหรัฐอเมริกาที่มีมากถึง 29 จาก 50 รัฐ ที่ยังไม่มีกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติ รวมไปถึงปัญหาคนไร้บ้านและการว่างงาน เป็นผลให้ LGBTQIA+ จำนวนมาก ไม่มีประกันสุขภาพ ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้

‘ความไม่เท่าเทียมทางเพศ’ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสถานการณ์

ประเด็นหนึ่งที่เราเห็นได้อย่างชัดเจนจากตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้น คือ ‘ความไม่เท่าเทียมทางเพศ’ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสถานการณ์ ทั้งโลกร้อน ภูมิอากาศแปรปรวน เกิดภัยพิบัติ หรือมลภาวะต่าง ๆ ย่อมมีการเลือกปฏิบัติและความอยุติธรรมเกิดขึ้นกับคนทุกเพศ

ดังนั้น การมีสีเขียวอยู่บนธงสีรุ้ง จึงเปรียบเสมือนการตอกย้ำถึงปัญหาเหล่านี้ ปัญหาที่ซ้อนอยู่ใต้ปัญหาหนึ่งอีกที จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องให้ความสำคัญกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศให้เกิดขึ้นในสังคมไปพร้อมกัน

สำหรับปีนี้ มิถุนายน 2567 กับงาน Bangkok Pride Parade 2024 ภายใต้แนวคิด ‘Celebration of Love เฉลิมฉลองสมรสเท่าเทียม’ เพื่อประกาศชัยชนะและความภาคภูมิใจต่อการเคลื่อนไหวเรียกร้องสมรสเท่าเทียมของกลุ่ม LGBTQIA+ ที่ต่อสู้กันมานานกว่า 2 ทศวรรษ นับเป็นเรื่องน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง โดยร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ผ่านมติเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 เป็นการบ่งบอกถึงความเท่าเทียมทางเพศที่กำลังก่อตัวขึ้นผ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิขั้นพื้นฐานอย่าง ‘การแต่งงาน’ กับคนที่เรารัก

อย่างไรก็ดี ขบวนบางกอกไพรด์ในปีนี้ ยังคงมีขบวนเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกเช่นเคย ภายใต้ชื่อขบวน ‘Love for Peace & Earth สันติภาพ’ ที่มาพร้อมกับประเด็นสำคัญ 5 ประเด็น ได้แก่ ยุติสงคราม สันติภาพ อนุรักษ์ธรรมชาติ ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม และยุติภาวะโลกรวน

นับเป็นปีที่ 3 ของขบวนบางกอกไพรด์ที่มีการพูดถึงประเด็นธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมขึ้น ยืนยันถึงความสำคัญของประเด็นดังกล่าว และยังคงเป็นสัญญาณโดยนัยว่าปัญหาเหล่านี้ยังคงเกิดขึ้นอยู่ทั่วทุกมุมโลก อยากเชิญชวนทุกคนมาร่วมจับตามองขบวน ‘Love for Peace & Earth สันติภาพ’ กัน

มาร่วมส่งเสียงของทุกคน เพื่อยืนยันในสิทธิการมีชีวิตอยู่บนโลกที่สงบสุข สิ่งแวดล้อมที่ดี และความเท่าเทียมเสมอภาคในทุกภาคส่วน

Credit

uniPoP

Related posts

เหนื่อยนัก ให้ธรรมชาติฮีลใจ

ธรรมชาติไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่เป็นวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว

Yuru Camp อนิเมะที่ดูแล้วอยากเก็บกระเป๋าออกไปตั้งแคมป์

อนิเมะฮีลใจสายรักธรรมชาติ ที่ดูแล้วผ่อนคลายจนอยากเก็บกระเป๋าไปเข้าป่า

การกินอาหาร Plant-based ช่วยโลกได้อย่างไร

วิจัยมากมายสนับสนุนว่าการทานเนื้อสัตว์เป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิดภาวะโลกร้อน และการหันมาทานผักผลไม้อาจเป็นทางออกที่ยั่งยืนในระยะยาว

มองโลกรวน ไซโคลน สงคราม ผ่านผู้ลี้ภัยในโมซัมบิกกับภารกิจของ UNHCR

ชะตากรรมในศูนย์พักพิงของคนที่ฝันอยากกลับบ้าน แต่กลับถูกซ้ำเติมด้วยภัยจากมนุษย์