Customize Consent Preferences

We use cookies to help you navigate efficiently and perform certain functions. You will find detailed information about all cookies under each consent category below.

The cookies that are categorized as "Necessary" are stored on your browser as they are essential for enabling the basic functionalities of the site. ... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

No cookies to display.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

No cookies to display.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

No cookies to display.

Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

No cookies to display.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customized advertisements based on the pages you visited previously and to analyze the effectiveness of the ad campaigns.

No cookies to display.

POHSOP local-rice eatery ร้านวีแกนในเชียงใหม่ที่หยิบ ‘ข้าวไทย’ ที่คุ้นเคยมาเล่าผ่านมื้ออาหาร

ข้าวจะแปลงร่างเป็นเมนูอะไรก็ได้ แต่ที่สำคัญต้องอร่อยไว้ก่อน!

กินข้าวมาหรือยัง? วันนี้กินข้าวอะไรดี? คำทักทายติดปากของคนไทยที่เป็นอันต้องถามเรื่องกิน ๆ มากินสารทุกข์สุขดิบซะอีก แต่เอาเข้าจริงก็อาจจะเป็นเพราะเราใส่ใจเรื่องความกินอิ่มนอนหลับกันเป็นหลัก ความห่วงใยก็เลยสะท้อนออกมาในรูปแบบของ ‘กินข้าวหรือยัง?’ นี่แหละ

แล้วถ้าจะมองให้น่าสนุกไปกว่านั้น เราก็จะพบว่า “ข้าว” แทนที่การใช้เรียกอาหารทั่วไปด้วยสิ คนส่วนมากก็เอาแต่ติดปากพูดว่า กินข้าวอยู่ กินข้าวกัน ทั้งที่มื้อนั้น ๆ แทบจะไม่มีข้าวโดยตรงอยู่ในนั้นด้วยซ้ำ! พูดมาแค่นี้ก็พอจะทำให้เห็นภาพแล้วล่ะนะ ว่าวิถีชีวิตคนไทยนั้นผูกติดกับ “ข้าว” มากแค่ไหน 

คนไทยทุกคนรู้ แฟนคลับรู้ว่าข้าวเป็นสิ่งที่คลุกคลีในชีวิตประจำวันคนไทยแบบแยกจากกันไม่ได้ เหมือนกับที่​เอิน-สาธิตา สลับแสง แห่ง POHSOP local-rice eatery ในเชียงใหม่บอกกับเราว่า ข้าวก็เหมือนกับรากเหง้าของคนไทย แต่หลายคนกลับยังไม่รู้จักสิ่งนี้มากเท่าไหร่ การเกิดขึ้นของร้านPOHSOP local-rice eatery หรือ โพสพแห่งนี้ จึงมาจากการที่เธออยากกลับไปรู้จักรากของตัวเอง ทำความเข้าใจ และส่งต่อเรื่องราวเหล่านี้ให้คนอื่น โดยใช้ ‘ข้าว’ เป็นสื่อกลาง 

ความสนใจในข้าว

ที่มาที่ไปก่อนจะเปิดเป็นร้านโพสพแห่งนี้ เธอเล่าว่าก่อนหน้านั้นเป็นช่วงที่สนใจในเรื่องพืชพันธุ์ข้าวอยู่แล้ว จากจุดเริ่มต้นที่ได้ไปรู้ว่า เมื่อก่อนข้าวมีเป็นหมื่นกว่าสายพันธุ์ แต่ทุกวันนี้เหลือประมาณห้าร้อยกว่าชนิด ทำให้เหิดคำถามว่าจริง ๆ มันกำลังจะหายไปหรือเปล่า จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่เริ่มศึกษาเรื่องข้าวด้วยตัวเองมาเรื่อย ๆ และยิ่งสนใจในคุณสมบัติของข้าวแต่ละพันธุ์ที่หากเปรียบเทียบเป็นคนก็ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ ‘คาแรคเตอร์ชัดมาก’ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น รสสัมผัส ขนาด ซึ่งความหลากหลายของเมล็ดพันธุ์เหล่านี้เองที่ยิ่งทำให้การรังสรรค์เมนูอาหารนั้นเป็นเรื่องที่สนุกและหลากหลายมากขึ้น

“ที่ร้านเราจะไม่พูดว่ากินข้าวกับอะไร แต่มันคือ กินอะไรเป็นข้าวมากกว่า”

“ในปีนึงเราจะเปลี่ยนข้าวที่นำมาใช้ประมาณ 3-4 ครั้ง เช่น บางทีก็ใช้หอมกระดังงา (นครสวรรค์) กับข้าวสังข์หยด (ทางใต้) ผสมกัน ซึ่งเราก็พยามปรับมุมมองในการหยิบไปปรุงอาหาร เช่น เมนูข้าวแต๋นทาปาสที่ปกติฝรั่งเขาใช้ขนมปังบาแก็ต เราก็ใช้ข้าวมาทำข้าวแต๋นไปแทน หรือการเอาข้าวไปอยู่ในขนม ไปใส่ในเมนูอื่นก็มี”

ซึ่งการบันทึกเรื่องราวลงในเมนูอาหารนี้ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่เธอมองว่าทำให้คนรู้สึกเชื่อมถึงกันได้  โดยใช้อาหารเป็นสื่อกลาง หรืออย่างน้อย ๆ ก็เป็นหนึ่งในตัวกลางสานความสัมพันธ์ที่ช่วยสร้างบทสนทนาระหว่างร้านและลูกค้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่มีถูกผิด เพียงแค่อยากให้เป็นจุดเริ่มต้นในการชวนคุยกัน มีบทสนทนาเรื่องอาหารที่ได้รู้จักมันมากขึ้น

ความอร่อยต้องมาก่อน

แม้ร้านโพสพแห่งนี้จะมีความตั้งใจชัดเจนในการอุดหนุนชุมชนและเป็นร้านมังสวิรัติที่งดใช้เนื้อสัตว์ แต่เธอบอกว่าใจความสำคัญหลักที่อยากจะบอกต่อกับลูกค้าไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นเป็นอันดับแรกซะทีเดียว หากแต่เป็น “ความอร่อย” เพราะเมื่ออร่อยแล้ว เขาก็อยากจะกลับมากินอีก และเรื่องราวคุณค่าเหล่านี้ก็จะเป็นตัวเสริมที่ทำให้การทานอาหารเหล่านี้สนุกและมีคุณค่าขึ้นนั่นเอง เหมือนกับที่เธอแนะนำอาหารในร้านตัวเองว่า  Accidentally No Meat 

“Accidentally no meat ก็คือเราอยากสื่อว่ามันอร่อยอยู่แล้วโดยไม่ต้องใส่เนื้อสัตว์ลงไป จริง ๆ เราก็เป็นร้าน Vegetarian แต่เราไม่ได้อยากตะโกน เพราะเราอยากต้อนรับคนทุกกลุ่ม คนไม่กินมังสวิรัติอาจจะปักธงมาแล้วว่าอาหารมังสวิรัติ อาหารเจ ไม่อร่อย ก็เลยคิดว่างั้นเราใช้คำนี้ละกัน “บังเอิญไม่มีเนื้อสัตว์” เพื่อโอบรับทุกคน เช่น คนที่อาจจะไม่ได้เป็นมังสวิรัติ 100% แต่อยากกลับมาเพราะจำได้แค่ว่าข้าวผัดแหนมเห็ดอร่อย โดยจะมีหรือไม่มีเนื้อสัตว์ก็เป็นแค่ผลพลอยได้ และการใช้วัตถุดิบในชุมชนก็เป็นผลที่ตามมาที่ดีต่อสุขภาพ สังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย แต่อย่างแรกคือคนต้องจำได้ว่ามันอร่อย”

ซึ่งแน่นอน ด้วยความตั้งใจที่อยากจะให้ร้านดึงดูดคนหลายกลุ่ม ร้านโพสพเองก็ได้สิทธินั้น! เธอเล่าว่า ช่วงแรกที่เริ่มเปิดตั้งไว้ว่ากลุ่มลูกค้าคงเป็นชาวต่างชาติที่ทานวีแกน สนใจเรื่อง Inner-work, Healing เป็นหลัก แต่จริง ๆ กลับกลายเป็นมีกลุ่มอื่นที่หลากหลายกว่านั้นเยอะ เช่น คนไทยกลุ่มที่สนใจสุขภาพ คนที่เจอคุณหมอสั่ง ต้องคุมอาหาร งดเนื้อสัตว์ คนกินเจ หรือบางกลุ่มก็ ‘ตามรอย’ กลุ่มคนสายสุขภาพมาจากกลุ่มไลน์ เฟสบุค ที่โพสต์ ๆ ตามกัน  

นอกจากนั้นก็จะมีกลุ่มคนที่บังเอิญผ่านมาในโครงการนี้ ด้วยความที่ Heng Station มีดีไซน์แนว ๆ โรงเรียนประถม ผู้ใหญ่ที่มาก็จะมาความชอบฟีลอะไรที่ย้อนวันวาน ย้อนรากอยู่แล้ว พอมาเห็นร้านโพสพที่เป็นข้าว เป็นร้านสุขภาพหน่อยก็ตัดสินใจเข้ามากิน มาลองด้วยตัวเอง 

แล้วในแง่ธุรกิจบ้าง พอทำมาระยะหนึ่งแล้วมองว่ายากไหมกับการหยิบเรื่องเหล่านี้มาถ่ายทอด?

ความท้าทายหนึ่งที่เจอบ่อย ๆ ตั้งแต่การเริ่มทำแรก ๆ คือการติดต่อกับชุมชน ด้วยความที่ชุมชนที่ปลูกข้าวเหล่านี้ไม่ได้ทำเป็นงานหลักตลอดปี ลุง ๆ ป้า ๆ ก็จะต้องแบ่งเวลาไปทำอาชีพอื่นด้วยระหว่างรอเก็บเกี่ยวใด ๆ ก็ทำให้อาจจะต้องรอบ้าง จัดส่งลำบากบ้าง คาดเดาลำบากบ้าง แต่สุดท้ายก็เป็นเรื่องที่ร้านเอามาบริหารความเสี่ยงและเรียนรู้ที่จะจัดการกับมัน ซึ่งเธอก็บอกว่ามันคุ้มค่ามากกว่าการที่ซื้อข้าวไม่กี่แบบที่เสร็จจบจากห้างหรือร้านสะดวกซื้อเป็นแน่

แต่ถึงจะคุ้มทุนในแง่จิตใจแค่ไหน แต่ในแง่ธุรกิจก็ต้องไปด้วยกันให้รอดจนได้! เมื่อเราถามถึงความคุ้มทุนในแง่ของธุรกิจเอง หากจะเป็นแนวทางให้กับคนที่อยากจะหยิบแพชชั่นมาเปิดเป็นร้านอาหารของตัวเองบ้าง เธอก็บอกว่าคุ้มมั้ยมันอยู่ที่ช่วง เพราะสำหรับธุรกิจแล้วก็เป็นเรื่องธรรมดาที่มีทั้งขาขึ้น ขาลง อยู่ที่ว่าเราจะรับมือยังไง และทำยังไงที่จะให้มันมีกำไรได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเวลานั้นมากกว่า

“การจะอยู่ได้มันก็ต้องใช้ทั้งความโปรดักทีฟ ความเอฟเฟคทีฟค่อนข้างสูง เพราะอย่างที่รู้ว่าร้านอาหารเชียงใหม่คู่แข่งค่อนข้างเยอะและการใช้จ่ายของคนก็ไม่ได้เยอะเท่าที่กรุงเทพฯ อยู่แล้ว แต่เราก็กล้าเสี่ยงเพราะมันเป็นเชียงใหม่  ถ้าไม่เวิร์คก็ปิด ชั่งใจระหว่างความเสี่ยงกับแพชชั่นแล้ว ถ้าไม่ได้ทำก็คงเสียดาย เพราะงั้นก็ตัดสินใจลงทุนเลย”

ส่วนเรื่องความคุ้มทุนมั้ยมันอยู่ที่ช่วงและอยู่ที่ว่าเราจะทำยังไงให้ Make the best out of it ซึ่งก็มองได้หลายมุมว่า เราอาจจะใช้ช่วงนี้ในการเตรียมรับมือช่วงที่คนจะเยอะ หรือเทรนความพร้อมให้กับคนในร้าน หรือเราจะนั่งบ่นกับชีวิตว่าไม่มีลูกค้าเลยทำไงดี

สำหรับเราเรารู้สึกว่าเราสนุกกับการที่เตรียมตัว ‘เข้าที่ ระวัง ไป’ ตลอดเวลา หาวิธีรับมือใหม่ ๆ บางทีก็ยิงแอดบ้าง หาวิธีเรียกลูกค้าบ้าง จัด Cooking Class ทำเวิร์คช็อป หรือรับทำอาหารจัดเลี้ยงบ้าง 

บางคนอาจจะคิดว่าทำไมมันเหมือนวิ่งมาราธอนที่ไม่มีจุดจบเลย แต่เราว่ามันก็เหมือนการใช้ชีวิต ถ้าสมมติว่าเราไม่มีไรทำ ชีวิตมันก็ไม่มีความหมาย ไม่รู้ว่าจะตื่นไปทำไม ก็เหมือนเราไม่ได้เติบโตอะไรเลย เพราะฉะนั้น ในบางช่วงที่คนน้อยก็มองว่าการมีร้านตรงนี้เป็นโมเดลเพื่อให้ต่อยอดให้คนเห็น เปิดโอกาสให้แบรนด์เรามากขึ้นไป”

จากเด็กวรรณคดีอังกฤษสู่การเปิดร้านอาหาร 2 แห่งในเชียงใหม่?

ก่อนที่เธอจะเริ่มต้นมาเปิดร้านโพสพแห่งนี้ เอินมีร้านอาหารอีกแห่งหนึ่งคือ Barefoot Restaurant ร้านพาสต้าเส้นสด และพิซซ่า ที่เปิดในย่านถนนท่าแพ ซึ่งถ้าคิดแบบไว ๆ ก็คิดว่าเธอต้องจบเฉพาะทางด้านอาหารหรือบริหารอะไรมาแน่ ๆ! แต่เมื่อได้คุยจริง ๆ ก็พบว่า เธอเป็นสาววรรณคดีอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเธอก็บอกว่านี่แหละ! เอาจริง ๆ มันคือธุรกิจที่ใช้สกิลตรงกับสายที่จบมาเลย

สกิลที่ว่านั้นก็คือ ‘การเล่าเรื่อง’ เพียงแต่ใช้อาหารเป็นสื่อกลางแทน เพราะมองว่าหลายคนอาจจะไม่ได้ชอบอ่าน ชอบฟัง แต่อย่างน้อย ๆ ทุกคนต้องกินแน่นอน เธอจึงให้รสชาติเปรี้ยว หวาน เผ็ด เค็มทั้งหลาย เป็นไกด์นำทาง และสอดแทรกคุณค่าที่อยากจะสื่อสารตามไป (เอาสี้! ใครจะมาว่าเด็กสายสังคมจบไปไส้แห้งไม่ได้แล้วน้า) สำหรับเราที่เรียนจบในสาขาใกล้เคียงกับเอินก็อยากจะมอบมงให้คำตอบนี้ เพราะมันทำให้เห็นว่าทักษะที่เราได้จากระบบการศึกษาตลอดชีวิตอาจไม่จำเป็นต้องเป็น Hard Skill ที่เป็นทักษะเฉพาะทาง แต่มันก็สามารถเป็น Soft Skill ที่เราหยิบมาดัดแปลงใช้ต่อยอดกับการทำงานอื่น ๆ ได้เหมือนกัน

เชื่อว่าหลายคนที่ได้อ่านสิ่งที่เอินบอกเล่าแล้วก็คงคิดเหมือนกันว่าสิ่งหนึ่งที่เราสัมผัสได้จากร้านแห่งนี้คือ ‘ความยืดหยุ่น’ ที่ไม่ยึดติดกับอะไร หรือมีอะไรเป็นแบบแผนตายตัว พร้อมที่จะปรับตัวเพื่อไปต่อตลอด ซึ่งนี่อาจเป็นสูตรสำคัญที่ทำให้เธอยังสนุกกับการบ่มเพาะร้านโพสพแห่งนี้

“เราเองก็เริ่มมาจาก 0 ทั้งสกิลทำอาหารและการจัดการใด ๆ ซึ่งมันก็เป็นข้อดีที่ทำให้เรารู้ว่าเราไม่รู้อะไรบ้าง เราเลยไม่ได้เข้มงวด บังคับขนาดนั้นว่าจานไหนจะต้องเป็นยังไง ต้องใส่นู่นนี่เท่าไหน บางทีการมีกรอบมันก็ดีที่จะได้ไม่ต้องคลำเยอะ แต่การไม่มีกรอบก็สนุกไปอีกแบบ มันทำให้มองได้หลากหลาย เพราะงั้นที่ร้านเราเลยไม่มีเชฟเลย”  เธอเล่าแบบสบาย ๆ สไตล์ทำให้เห็นภาพชัดของความเป็นโพสพ

แม้เจ้า ‘ความยืดหยุ่น’ ดูเหมือนจะเป็นทักษะที่ง่ายแต่ก็เป็นสกิลที่หลายคนอาจนึกไม่ค่อยถึงในการทำธุรกิจหรือแม้กระทั่งการใช้ชีวิตก็ตามแต่ เธอบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่ทำให้ธุรกิจยังเดินไปได้คือความคิดแบบ Resilience หรือ ความยืดหยุ่น ซึ่งหากมองในแง่การทำธุรกิจมันคือการที่ ‘ล้มแล้วต้องลุกให้ได้ ไปต่อให้เร็ว’ 

อย่างที่เล่าไปข้างต้นว่า ในช่วง Low Season หน่อย ก็อาจจะไม่ใช่เวลาของการตัดพ้อแต่ก็มองว่าเป็นเวลาที่ได้ลงมือทำ สร้างโอกาสในรูปแบบอื่น ๆ ทั้งการปรับโมเดลธุรกิจที่หลากหลายออกไปเพื่อให้มีรายได้หลายทางและเป็นการเปิดตลาดที่พบปะผู้คนที่หลากหลายมากขึ้น สำหรับเธอมันเป็นเช่นนั้นและธรรมชาติของการทำธุรกิจก็เป็นแบบเช่นกัน

ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของเอินและร้านโพสพแห่งนี้ที่เริ่มต้นจากความสนใจในเรื่องของพันธุ์ข้าวไทยมาถ่ายทอดผ่านเมนูอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มลองและรู้จักศักยภาพของข้าวไทยได้มากขึ้น ผสานกับสกิลความพลิกแพลงดัดแปลงของเธมาใส่ลงในโมเดลธุรกิจก็ทำให้เราเห็นว่า ‘ความยั่งยืน’ ที่ที่สำคัญในการทำธุรกิจที่เน้นใน ‘คุณค่า’ ไม่ว่าจะแง่สิ่งแวดล้อมหรือสังคมก็คือ ‘การทำอย่างไรให้เรายังยึดถือในคุณค่าที่เรายึดถือได้ ไปพร้อม ๆ กับมีรายได้มากพอที่จะทำให้เราเติบโตไปได้ในระยะยาว’

หลังจากจบบทสนทนา ก็ไม่รู้ว่าจะนิยามร้านนี้ว่ายังไงเลยดีล่ะ ร้านอาหารวีแกน? ร้านข้าว? ร้านอาหารสุขภาพ? เอาล่ะ จริง ๆ ก็ดูจะเป็นไปได้หมดเลย ฮ่า ๆ สำหรับใครที่แวะมาเยือน เรามั่นใจว่าสิ่งหนึ่งที่ต้องได้กลับไปคือ ’ความอร่อย’ (และอาจจะต้องทำให้คุณตามกลับมาซ้ำอีกหลายทีเหมือนกับเราแน่นอน!) ส่วนคุณค่าต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมก็เป็นผลดีที่เราได้รับไปจากมื้อนี้ด้วย 

ใครใคร่อยากกินก็มา ส่วนถ้าใครใคร่อยากจะฟังก็เชิญเลย เดี๋ยวเธอจะเล่าให้ฟัง!

——- 

✱ POHSOP local-rice eatery (vegetarian)

✱ โครงการ Heng Station 142 ซอยรถไฟ ตำบลวัดเกต อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่

✱ https://maps.app.goo.gl/UBNe7hKCctEDcn2H6

✱ 0656926344

Credit

Chayanit S.

เป็นคนกรุงเทพฯ ชอบเดินเที่ยวเมือง ฟังเพลงซ้ำ ๆ นั่งโง่ ๆ ดูคนคนใช้ชีวิต :-)