จากมือชาวเล ถึงจานชาวกรุง ผ่านตัวเชื่อมสัมพันธ์อย่าง ‘บริษัทปลาออร์แกนิก’

ร้านปลาออแกร์นิก จำหน่ายอาหารสดๆ จากทะเล โดยชาวประมงพื้นบ้านทั่วไทย ที่ได้มาด้วยวิถี ‘รักษ์’ ธรรมชาติ และ ‘รัก’ ผู้บริโภคด้วย

ในซอยวิภาวดีรังสิต 22 แขวงจอมพล เขตจตุจักร มีอาคารหลังหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในหลืบ หลังคาสีน้ำตาลออกไม้ๆ ลักษณะคล้ายหัวเรือใหญ่ มองไล่ลงมาด้านล่างเป็นห้องกระจกที่ด้านขวาสุดมีประตูไม้บานหนึ่ง และช่องกระจกกลมอยู่ตรงกลางบานไม้นั้น ไม่ต้องคิดอะไรนานก็ทำให้รู้ว่าที่แห่งนี้ถูกออกแบบมาให้มีลักษณะคล้ายกับเรือ แสดงถึงอัตลักษณ์ของ ‘ร้านปลาออร์แกนิกฯ’ ได้ดีทีเดียว จากชื่อร้านและลักษณะร้านที่ถูกออกแบบมาให้คล้ายกับเรือเช่นนี้ ก็คงทำให้ผู้อ่านเดาได้ไม่ยากแล้ว ว่าสินค้าของร้านนี้คืออะไร

ร้านปลาออร์แกนิกฯ ของ บริษัท ปลาออร์แกนิกวิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ร้านขายอาหารทะเล ที่แม้ว่าชื่อร้านชูปลาเป็นตัวเด่น แต่สินค้าในร้านไม่ได้มีเพียงปลาสดๆ จากทะเล แต่ยังมีสัตว์ทะเลอื่นๆ ที่มาจากกลุ่ม ‘ชาวประมงพื้นบ้าน’ จากหลายพื้นที่ทั่วทะเลไทย แต่ถ้าหากอยากจะรู้อะไรมากกว่านี้ เราคงต้องเดินเข้าไปในร้านเสียก่อน

ภายในร้านเราได้เจอกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เราเรียกกันว่า ‘พี่นุช’ สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปลาออร์แกนิกแห่งนี้ แล้วเธอก็ได้เล่าเรื่องราวความเป็นมาของร้านนี้ให้ฟัง…

ขอบคุณภาพจาก เครือข่ายรักษ์ปลารักษ์ทะเล

เส้นทางการเดินเรือของ ร้านปลาออร์แกนิกฯ

จุดเริ่มต้นของร้านปลาออร์แกนิกฯนั้น มาจากพี่นุชที่ในตอนนั้นกำลังสวมหมวกนักวิชาการด้านการจัดการทรัพยากรชายฝั่งอยู่ ได้มองเห็นปัญหาว่าคนที่ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านไม่เป็นที่รู้จัก คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไร แล้วมันต่างจากการทำประมงทั่วไปอย่างไร

“เราพูดถึงชาวนา เรารู้ว่าชาวนาทำอะไร แต่พอพูดถึงประมงพื้นบ้าน เราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร” พี่นุชกล่าว

จึงได้เริ่มทำ ‘โครงการประมงพื้นบ้าน-สัตว์น้ำอินทรีย์ ’ ด้วยทุนสนับสนุนจากสหภาพยุโรป ในช่วงปี 2556-2561 เพื่อผลักดันกลุ่มประมงพื้นบ้านให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วยการใช้ ‘อาหารทะเล’ เป็นเครื่องมือเชื่อมต่อกับผู้คน โดยใช้โครงการเป็นตัวกลางระหว่างผู้บริโภคกับชาวประมงพื้นบ้าน ทั้งในเรื่องของการซื้อ-ขายสินค้า และการจัดกิจกรรมเพื่อทำให้คนทั่วไปรู้จักกลุ่มประมงพื้นบ้านมากขึ้น

เมื่อหมดระยะเวลา 5 ปีนั้น รูปแบบการใช้อาหารทะเลเป็นตัวเชื่อม ยังคงดำเนินไปได้ด้วยดี ชาวคณะทำงานก็ไม่อยากให้โครงการนี้หายไปกับสายลม จึงหาลู่ทางในการไปต่อ ซึ่งผลสรุปก็ออกมาเป็นการก่อตั้ง บริษัท ปลาออร์แกนิกวิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ที่มีผู้ถือหุ้นกว่าร้อยละ 90 เป็นชาวประมงพื้นบ้านจาก 6 พื้นที่ ในเครือข่ายรักษ์ปลารักษ์ทะเล ได้แก่

  1. แพปลาชุมชนบ้านหัวหิน จ.สตูล
  2. วิสาหกิจชุมชนประมงพื้นบ้าน สัตว์น้ำอินทรีย์ ชุมชนบ้านทรายทอง จ.กระบี่
  3. วิสาหกิจชุมชนแพกุ้ง ชุมชนบ้านหินร่ม จ.พังงา
  4. วิสาหกิจชุมชนแพปลา ชุมชนบ้านช่องฟืน จ.พัทลุง
  5. วิสาหกิจชุมชนแพปลา ชุมชนบ้านแหลมผักเบี้ย จ.เพชรบุรี
  6. สมาคมชาวประมงพื้นบ้าน จ.ปัตตานี

ส่วนหุ้นราวร้อยละ 10 ที่เหลือนั้น เป็นของกรรมการบริษัท ที่พวกเขาต้องถือหุ้นไว้เพื่อความสะดวกในการจัดการเอกสารที่ต้องทำในกรุงเทพฯ

ขอบคุณภาพจาก เครือข่ายรักษ์ปลารักษ์ทะเล

ทุกพื้นที่ที่ได้กล่าวถึงนี้ ล้วนแต่เป็นกลุ่มประมงพื้นบ้านที่โดยพื้นฐาน มีวิถีชีวิตที่อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลอยู่แล้ว เพราะพวกเขาเข้าใจถึงความสำคัญของระบบนิเวศและมองว่ามันเป็น ‘บ้าน’ ฉะนั้นแล้วพวกเขาจะไม่มีทางทำลายบ้านของตัวเองและเพื่อนบ้าน อย่างเหล่าสัตว์น้ำทั้งหลาย ด้วยการทำประมงแบบล้างผลาญหรือละเมิดกฎหมายเป็นอันขาด

แต่การทำงานร่วมกับร้านปลาออร์แกนิกฯ แค่ ‘รักษ์’ ธรรมชาติอย่างเดียวก็ไม่พอ ต้อง ‘รัก’ ผู้บริโภคด้วย เพราะมาตรฐานอีกขั้นคือ ‘การไม่ใช้สารเคมีในทุกขั้นตอน’ โดยทั่วไปแล้วอาหารทะเลที่ต้องเดินทางจากทะเลไปยังร้านอาหารทั่วประเทศ ก็มักจะใช้สารพัดสารเคมี เพื่อคงสภาพความสดใหม่ของสัตว์ทะเลเหล่านั้น แต่ไม่ใช่กับเครือข่ายรักษ์ปลารักษ์ทะเลอย่างแน่นอน เพราะมีการตรวจสอบ ‘มาตรฐานเกษตรอินทรีย์’ อย่างจริงจังอยู่เรื่อยๆ ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้เลยว่า เขาไม่ได้กินสารก่อมะเร็งเข้าไปพร้อมปลาอย่างแน่นอน 

เพราะสินค้าจากทะเลที่ส่งตรงถึงมือชาวกรุงในแต่ละรอบใช้เวลาไม่ถึงสัปดาห์ โดยมีระบบว่าร้านจะรับออเดอร์สินค้าในวันอาทิตย์ ชาวประมงออกเรือหาปลาวันจันทร์-อังคาร ส่งจากทะเลมาถึงที่ร้านที่กรุงเทพฯ ภายในวันพุธ และกระจายสินค้าต่อไปที่ลูกค้าภายในวันพฤหัสบดี-ศุกร์ 

ด้วยความรวดเร็วในการจัดการและการส่งต่อแค่ทอดเดียวถึง แบบไม่ผ่านหลายมือ จึงไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีเพื่อคงสภาพความสดใหม่ สิ่งที่ถูกนำมาใช้รักษาความสดนี้มีแค่ ‘น้ำแข็ง’ เพียวๆ ไม่มีสิ่งอื่นเจอปน

องค์กรที่หวังผลกำไรแค่พอประมาณ เพราะทำเพื่อสังคม

คำว่า วิสาหกิจ ‘เพื่อสังคม’ เป็นคำที่เห็นได้ไม่บ่อยนักในวงการธุรกิจ ส่วนตัวผู้เขียนเองเพิ่งจะเคยได้ยินครั้งแรกก็เมื่อก้าวเท้าเข้าร้านเรือจำลองแห่งนี้ 

แนวทางการทำเพื่อสังคม ด้วยสังคม ของร้านปลาออร์แกนิกฯ คือการสร้างกลไก ‘การบริโภคที่เกื้อกูล’ ซึ่งหมายถึงการเกื้อกูลสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตคนประมงพื้นบ้าน และสุขภาพของคนปลายทาง

เกื้อกูลสิ่งแวดล้อมด้วยการสนันสนุนกลุ่มประมงที่อนุรักษ์

เกื้อกูลชาวบ้านประมงพื้นบ้านด้วยการอุดหนุนสินค้า

และเกื้อกูลผู้บริโภค ด้วยการขายสินค้าที่มีคุณภาพ ปลอดภัยไร้สารเจือปน

แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าถ้าเราซื้อปลาจากร้านนี้ แล้วฟันเฟืองทุกตัวจะหมุนไป ในแบบที่เกื้อกูลทุกฝ่ายจริงๆ ?

เมื่อไม่นานเราได้ทำความรู้จักกับ ‘พี่น้องนุช’ ประธานวิสาหกิจชุมชนประมงพื้นบ้าน สัตว์น้ำอินทรีย์ ชุมชนบ้านทรายทอง จ.กระบี่ เธอเล่าว่าในชุมชนบ้านทรายทอง การอนุรักษ์สัตว์ทะเล ไม่ได้มีแค่การทำประมงด้วยความเป็นมิตรแต่มีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยวิธีอื่นอีกด้วย อย่างการทำ ‘ธนาคารปูม้า’ เพื่อรักษาสมดุลประชากรปูม้าด้วย

รายได้จากการขายปลาให้กับร้านปลาออร์แกนิกฯ หลังจากที่แบ่งให้ชาวประมงและหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นของกลุ่มประมงเรียบร้อยแล้ว เงินในส่วนที่เหลือจะมีการจัดสรรเพื่อคืนกำไรให้ชุมชน ด้วยการอุดหนุนค่าอาหารกลางวันเด็กในพื้นที่ และนำไปเก็บเป็นค่าสวัสดิการให้กับสมาชิกในกลุ่มด้วย

ส่วนรายได้ของจิกซอว์ตัวกลางอย่าง ‘พี่นุช’ ร้านปลาออร์แกนิกฯ ก็มาจากการแบ่งรายได้เพียงร้อยละ 30 จากการขายสินค้าให้ผู้บริโภคปลายทาง เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเปิดร้านที่กรุงเทพฯ ส่วนอีกร้อยละ 70 ที่เหลือนั้นก็กลับคืนสู่ชาวบ้านอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

“เราแค่จะเอาอาหารทะเลมาสื่อกับผู้บริโภค ในช่วงสองปีแรกเราคิดแต่จะเปิดเผยตัวตน ของกลุ่มประมงพื้นบ้านให้ประชาชนได้รู้จัก ไม่ได้คิดเรื่องเงินเลย” พี่นุชกล่าว

สิ่งที่พี่นุชและ บริษัท ปลาออร์แกนิกวิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ทำมาโดยตลอดคือการใช้ ‘สินค้าจากท้องทะเล’ มาเป็นกระบอกเสียงเพื่อให้คนทั่วไปในสังคมได้รับรู้ว่า ในประเทศไทยนี้มีกลุ่มประมงพื้นบ้านอยู่ เป็นการทำเพื่อยกตัวตนของคนทำประมงมาแสดงให้คนทั่วไปได้เห็น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มคนประมงพื้นบ้านก็เริ่มเห็นคุณค่าและมีความภาคภูมิใจในอาชีพของตัวเอง ผ่านการทำงานร่วมกับร้านปลาออร์แกนิกฯ ด้วย และอาจจะเห็นได้ชัดด้วยเรื่องราวจาก ‘ชาวเล’ ที่ผู้เขียนกำลังจะเล่าต่อไป

ขอบคุณภาพจาก เครือข่ายรักษ์ปลารักษ์ทะเล

เรื่องเล่าจากโอรังปันตัย ชาวเล จ.ปัตตานี

ตัวแทนกลุ่มประมงในเครือข่ายรักษ์ปลารักษ์ทะเล ที่เราได้พูดคุยด้วยอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ ‘มูหามะ สุกรี’ นายกสมาคมประมงพื้นบ้าน และวิสาหกิจชุมชนโอรังปันตัย จ.ปัตตานี 

“หน้าบ้านของเราเอง ไม่ต้องออกไปไกลที่ไหน เรามีทรัพยากรที่จะดำรงชีพได้อย่างสบายๆ” เขาเล่าว่า ในช่วงที่เขายังเป็นเด็กสภาพทะเลบริเวณนั้น มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก ก่อนจะมีการรุกรานจาก ‘เรืออวนรุน’ และ ‘เรืออวนลาก’ ในช่วงปี 2531 ที่เข้ามาทำลายระบบนิเวศทางทะเลเสียจนไม่เหลือทรัพยากรไว้ให้ทำกิน

ชาวบ้านที่ถูกตัดช่องทางการหารายได้ และไม่มีทางเลือกในการประกอบอาชีพ จึงเกิดการอพยพครั้งใหญ่ไปขายแรงงานที่ประเทศมาเลเซีย ทำให้เกิดปัญหาในชุมชน จนมีคนที่ทนไม่ไหวกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป จึงได้มีการรวมกลุ่มกันเป็นชมรมชาวประมงพื้นบ้าน ในปี 2536 เพื่อต่อสู้เรียกร้องที่จะนำระบบนิเวศและวิถีชีวิตแบบเดิมกลับคืนมา จนในปี 2546 ได้มีการกำจัดกลุ่มอวนล้างผลาญออกจากพื้นที่ จ.ปัตตานี ไปเรียบร้อย 

หลังจากนั้นวิถีอาชีพประมงของชาวบ้านก็ดำเนินไปแบบที่สามารถอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ด้วยการทำประมงพื้่นด้วยความเข้าใจระบบนิเวศ โดยการใช้เครื่องมือที่ประดิษฐ์มาเพื่อจับสัตว์น้ำแต่ละชนิดเท่านั้น (1 เครื่องมือ จับสัตว์น้ำได้ 1 ชนิด) ซึ่งต่างจากการทำประมงพาณิชย์ประเภทเรืออวนลาก-อวนรุนที่สามารถกวาดล้างทรัพยากรให้ราบไปได้ในคราวเดียว

วิถีชีวิตประมงพื้นบ้านฉบับชาวปัตตานีจึงสามารถฟื้นฟูระบบนิเวศไปโดยปริยาย บวกกับความร่วมมือของสมาคมฯ ที่ช่วยกันสร้างปะการังเป็นที่อยู่ให้เหล่าลูกปลาในบริเวณนั้น ก็ยิ่งทำให้ระบบนิเวศชายฝั่งกลับมาอุดมสมบูรณ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก

เมื่อระบบนิเวศฟื้นคืน คุณภาพชีวิตของชาวบ้านก็พัฒนาดีขึ้นตามมาด้วย เพราะนอกจากจะมีทรัพยากรมากพอที่พวกเขาจะกลับมาทำมาหากินในชุมชนแล้ว ยังสามารถพัฒนาให้ดีและมั่นคงขึ้นได้อีก หลังจากที่ได้ทำงานร่วมกับร้านปลาออร์แกนิกฯ ด้วยการสร้างความภาคภูมิใจให้กับชาวบ้าน

“มันรู้สึก เรามีศักดิ์ศรีของความเป็นชาวประมง เราเท่าเทียมกับกลุ่มอาชีพอื่นๆ เพราะเราสามารถกำหนดราคาเองได้ เพราะเราใช้ตัวเองมาการันตีคุณภาพสินค้าได้” คำกล่าวจาก มูหามะ สุกรี

ขอบคุณภาพจาก เครือข่ายรักษ์ปลารักษ์ทะเล

มาถึงตรงนี้ก็คงจะพอเห็นได้ว่าร้านปลาออร์แกนิกฯ ไม่ใช่แค่ร้านขายอาหารทะเลธรรมดาๆ แต่เป็นร้านที่ทำให้เราเห็นตัวอย่างของการทำ ‘ธุรกิจเพื่อสังคม’ ว่าเราสามารถพัฒนาสังคมในทุกมิติ ทั้งสิ่งแวดล้อม ชุมชนผู้ผลิต และผู้บริโภคปลายทางได้ในเวลาเดียวกันอย่างยั่งยืน แถมยังทำให้เราได้เห็นว่าผู้บริโภคปลายทางอย่างเราสามารถเปลี่ยนแปลงและเกื้อกูลสังคมได้ แค่เพียงเลือกซื้อสินค้าให้ถูกแแหล่งเพื่อสนับสนุนให้ถูกคน

นักเขียน: พรวิภา หิรัญพฤกษ์ เผยแพร่ครั้งแรกที่ Varasarn Press  

Credit

Related posts

KBank ชวนธุรกิจอาหารปรับตัวอย่างไร ในวันที่ความยั่งยืนไม่ใช่แค่การลด Food Waste

ท่ามกลางวิกฤตสิ่งแวดล้อมและแรงกดดันจากกฎระเบียบโลก KBank ได้เข้ามาเป็นพันธมิตรสำคัญเพื่อช่วยธุรกิจอาหารเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน

การกินอาหาร Plant-based ช่วยโลกได้อย่างไร

วิจัยมากมายสนับสนุนว่าการทานเนื้อสัตว์เป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิดภาวะโลกร้อน และการหันมาทานผักผลไม้อาจเป็นทางออกที่ยั่งยืนในระยะยาว

friends & forest: eco space พื้นที่ปลอดภัย ในวันที่โลกรวนมากขึ้นทุกวัน

น้ำท่วมจะกลัวอะไร ถ้าเรามีที่หลบภัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

Hug Organic ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของคนไทยที่ดีต่อกาย ดีต่อใจ ใช่ต่อโลก

“เราอยากเป็นสื่อกลางของความรักที่ทุกคนมอบให้กันผ่านผลิตภัณฑ์ฮัก ออร์แกนิก”

กอดคนที่เรารัก ลดความเจ็บปวด เครียด ซึมเศร้า

หยุดยาวนี้กลับบ้านไปกอดคนที่เรารัก ไปกอดหมา กอดแมวกันเถอะ