เมื่อชีวิตปัจจุบันติดอยู่ในลูป “ทำงานหาเงิน” เพื่อจับจ่ายปัจจัยพื้นฐานมากเกินไป ไม่มีความสุข จึงต้องออกมาเริ่มหา “ความสุข” ในฟาร์มเกษตรอินทรีย์ และสร้างรายได้จากสินทรัพย์ที่มีจนกลายเป็น Wasunthara Eatery Farm บ้านวสุนธารา คุณลุงวิลาศ
ในยุคทุนนิยมแบบนี้เชื่อว่าใครหลายคนก็ต้องรีบเร่งไปทำงานหาเงินสำหรับค่าใช้จ่ายมากมายแม้กระทั่งปัจจัยพื้นฐานอย่าง “อาหาร” วันนี้จึงพามาคุยกับคุณลุงวิลาศ เจ้าของ Wasunthara Eatery Farm ที่ทำธุรกิจจากสิ่งที่ตนเองชอบ แล้วส่งต่อความสุขไปยังลูกค้า ภายใต้แนวคิด “Happiness comes before business”

ทำความรู้จักกับคุณลุงวิลาศ และบ้านวสุนธารา
คุณลุงวิลาศ จุลกัลป์ เป็นคนจังหวัดสุราษฎ์ธานี ปัจจุบันอายุ 60 ปี และกำลังทำเกษตรอินทรีย์ที่บ้านวสุนธารา จังหวัดเชียงใหม่ คุณลุงเล่าว่าที่ตั้งชื่อ “บ้านวสุนธารา” เพราะการทำเกษตรอินทรีย์ต้องพึ่งพาดิน น้ำ แสงแดด และอากาศ คำว่า วสุ หรือ ‘วสุน’ หมายถึง ผืนแผ่นดิน ส่วน ’ธารา‘ หมายถึง น้ำ ดังนั้น “วสุนธรา” จึงหมายถึง “ทรัพย์ในดิน สินในน้ำ” ซึ่งสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อมที่ต้องอยู่คู่กับสังคมมนุษย์ และเราก็ยังจะสามารถส่งต่อความอุดมสมบูรณ์นี้ไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานได้นั่นเอง

จุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจ “บ้านวสุนธารา”
เช่นเดียวกับหนุ่มสาววัยทำงานทั่วไป คุณลุงเคยทำงานอยู่ในกรุงเทพมหานคร เมืองใหญ่ที่ทุกคนต่างให้ “เงินเป็นหลัก อาหารเป็นรอง” ชีวิตจึงติดวนอยู่ใน ‘วงจร’ หรือ ’ลูป’ ทำงาน-ได้เงิน-ซื้อของ แม้กระทั่งผัก ปลาต่างๆ ที่ต้องซื้อในทุกวัน คุณลุงวิลาศจึงเริ่มคิดว่า ขณะที่เราเองติดอยู่ในวงจรนี้ซ้ำๆ และถ้าติดไปอีกหลายสิบปีจนแก่เฒ่า แต่รุ่นพ่อแม่ของเราไม่จำเป็นต้องออกไปซื้อวัตถุดิบเหล่านี้มาทำอาหารเลย เพราะพื้นฐานคือที่บ้านทำนา ทำสวน คุณลุงจึงออกมาจากลูปที่ว่า แล้วย้ายขึ้นมาปลูกผัก ทำนา ทำสวน เลี้ยงปลาอยู่ที่เชียงใหม่แทน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราจะมีอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์แล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ไดัว่าชีวิตคนเรายังต้องมี “ค่าใช้จ่าย” สำหรับการไปหาหมอ หรือซื้อสิ่งของจำเป็นต่างๆ ที่เราไม่สามารถผลิตเองได้ ดังนั้นเราต้อง “สร้างรายได้จากสิ่งที่เรามี” โดยที่ไม่ให้ซ้ำกับคนอื่นในตลาด และไม่เปลืองแรงในการขนส่ง แต่ให้ลูกค้าเข้ามาหาเราเองที่บ้าน ‘ไม่ใช่ร้านอาหาร‘ จึงกลายเป็นบ้านวสุนธาราขึ้นมา

ทำไมถึงต้องเป็น “โอมากาเสะดอกไม้”
จากโจทย์ที่ว่า ‘ทำอย่างไรสินค้าจะแตกต่างจากคนอื่น’ และดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาหาคุณลุงเองที่บ้าน ‘ดอกไม้’ จึงเป็นสิ่งที่คุณลุงวิลาศนึกถึง เพราะใครๆ ก็สามารถเข้าถึงดอกไม้ได้ทุกเพศ ทุกวัย และด้วยศักยภาพที่คุณลุงมี ทั้งแรงกาย อุปกรณ์ประกอบอาหาร จาน ชาม แม้แต่ทรัพยากรในสวนของคุณลุงเองไม่สามารตอบสนองลูกค้าได้หลายๆ โต๊ะต่อวัน จึงเข้ากับคอนเซปต์ของคำว่า “โอมากาเสะ” ที่มีขั้นตอนเตรียมการเรียบง่าย ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล และมีเชฟคอยดูแล มอบประสบการณ์ที่ดีอย่างใกล้ชิดให้กับลูกค้า

เมื่อดอกไม้ทานได้ หลากหลายสรรพคุณตามฤดูกาลผสานเข้ากับศักยภาพของคุณลุงที่มี จึงกลายเป็นคอร์สอาหาร “โอมากาเสะดอกไม้” ขึ้นมา แต่จริง ๆ แล้วเมนูในคอร์สก็ไม่ได้มีเพียงแค่ดอกไม้ตามฤดูกาลเท่านั้น แต่ยังมีผักชนิดอื่นๆ และปลาที่คุณลุงเลี้ยงเองอีกด้วย
สร้างรายได้แบบยั่งยืนและไม่ฝืนธรรมชาติ
ปัจจุบันเชื่อว่าใครหลายคนคงต้องทำงานหนักหรือทำงานเยอะเพื่อที่จะมีรายได้เยอะขึ้น จนลืมดูแลตัวเอง ลืมไปว่า “ร่างกาย” ของเราไม่มีอะไหล่เปลี่ยน การส่งเสริมสุขภาพผ่านการออกกำลังกายหรือการรับประทานอาหารจึง “ไม่ใช่กระแส” หรือเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างฉาบฉวยแล้วจากไป ตราบใดที่คนเรายังต้องใช้ร่างกายในการดำเนินชีวิตและสร้างรายได้ ธุรกิจเพื่อสุขภาพจะยั่งยืนอย่างแน่นอน
มนุษย์เราพยายามฝืนธรรมชาติ ไม่ทานพืชผักผลไม้ตามฤดูกาล ทำให้ภูมิคุ้มกันลดน้อยลง ป่วยง่าย แนวคิดการทำอาหารของคุณลุงจึงเป็นไปตามฤดูกาล เพื่อสุขภาพที่ดีของทั้งลูกค้าและตัวของคุณลุงเอง

คุณลุงวิลาศลงมือทำเกษตรอินทรีย์ ปล่อยให้ “ธรรมชาติดูแลกันเอง” ผสมผสานกับการทำปุ๋ยอินทรีย์จากเศษใบไม้ต่างๆ และเศษอาหารที่ผ่านการคัดแยกหลังรับประทานเสร็จ คุณลุงจึงไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนของปุ๋ยเสริมสารอาหาร

นอกจากการทำสวนแล้ว คุณลุงยังลงมือปรุงอาหาร จัดจาน เสิร์ฟลูกค้าด้วยตนเองทั้งหมด แต่ด้วยอายุที่มากขึ้นจึงอาจมีบางครั้งที่จะจ้างลูกมือในการช่วยเตรียมวัตถุดิบและทำสวนบ้าง อันเป็นสาเหตุให้คุณลุงรับลูกค้า “วันละโต๊ะ” ที่รองรับลูกค้าสูงสุดได้ 10 ท่าน ผ่านการจองล่วงหน้า และเมนูในคอร์สจะปรับเปลี่ยนตามฤดูกาล โดยมีเมนูหลักประจำบ้านนั่นก็คือ เมี่ยงคำบุปผา และข้าวยำดอกไม้ ที่มีทุกฤดูพร้อมกับตกแต่งด้วยดอกไม้กินได้ จัดใส่จานหน้าตาสวยงาม

นั่งกิน นอนกิน เหมือนมาทานข้าวบ้านญาติ
หากใครจะมาถึงบ้านวสุนธาราแห่งนี้ตั้งแต่ช่วงสายของวัน บอกเลยว่าคงต้องนั่งๆ นอนๆ ใช้เวลาผ่อนคลายไปก่อน เพราะคุณลุงจะเน้นความสดใหม่ของวัตถุดิบจากสวน ไม่มีการตุนไว้ในตู้เย็นแน่นอน ดังนั้นช่วงเช้าของวันจะเป็นเวลาเก็บเกี่ยววัตถุดิบและเริ่มต้นมื้ออาหารในช่วงเที่ยงวันเป็นต้นไป

ท่ามกลางร่มเงาของต้นไม้นานาพรรณในสวน ผู้มาเยี่ยมเยือนสามารถนั่งเล่น นอนเล่น หลับระหว่างรอจานถัดไปมาเสิร์ฟ หรือหลังจากทานอาหารอิ่ม ก็ได้ เพราะสถานที่รับรองของทางร้านจะเป็นการนั่งรับประทานอาหารแบบญี่ปุ่น คือ นั่งทานกับพื้น มีความเป็นส่วนตัว และรายล้อมด้วยธรรมชาติ ลมเย็นพัดโชยไปมา ค่อยๆ ซึบซับความสุขระหว่างการรับประทานผ่านการพูดคุย และสภาพแวดล้อมดีๆ เหมาะมากสำหรับผู้คนที่ต้องการพักผ่อนแบบสบายๆ กินอาหารพร้อมสุขภาพที่ดี โดยไม่ต้องรีบเร่ง เสมือนมาบ้านญาติอย่างแท้จริง

อยากฝากอะไรถึงคนเริ่มต้นทำธุรกิจอย่างยั่งยืนไหม?
คุณลุงวิลาศบอกว่า หากจะเริ่มทำธุรกิจควรเริ่มจากสิ่งที่ตนเองชอบและมีอยู่ ไม่ควรเริ่มธุรกิจด้วยการติดลบต้นทุน เช่น หากเป็นร้านอาหารก็เอาจาน ชาม อุปกรณ์ในบ้านเรามาใช้ก่อน หลังจากนั้นเมื่อมีทุน มีลูกค้ามากขึ้นก็ค่อยๆ ขยับขยายไป เพราะปัจจุบันคนทำธุรกิจส่วนใหญ่จะมองจากกระแสความนิยมของสังคมนั้น เช่นร้านกาแฟ หรือคาเฟ่ ที่ผุดขึ้นมากมาย ซึ่งก็สามารถทำได้ แต่ควรมีความพิเศษ ความยูนีค จุดยืนของตัวเองเพื่อให้ธุรกิจของเราโดดเด่นมากขึ้น สามารถอยู่ต่อได้อย่างยาวนาน อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไรก็ควรใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน

เมื่อสุขภาพดี ชีวิตก็มีความสุข หากสนใจอยากสัมผัสประสบการณ์ในการรับประทานอาหารแบบเรียบง่ายและมีความสุข สามารถจองล่วงหน้ากับคุณลุงได้เลย