เศรษฐกิจโลกกำลังเติบโตอย่างชะลอตัว โดย IMF คาดการณ์ว่าปี 2568 เศรษฐกิจโลกจะเติบโต 3% ขณะที่ไทยไม่เกิน 2% ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่อง ปัญหาโลกร้อน ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และความกังวลของแรงงานที่อาจถูก AI แทนที่
ความท้าทายเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่องค์กรใหญ่ไปจนถึง SME ที่ต่างตั้งคำถามว่า “เราจะก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้ได้อย่างไร ?”
“การเติบโตอย่างยั่งยืน” คือทั้งคำตอบและโจทย์สำคัญ ที่ต้องผสานเข้ากับวิสัยทัศน์และการดำเนินธุรกิจทุกระดับ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้และก่อให้เกิด “ความยั่งยืนจริง” ซึ่งเป็น “ทางรอด” ของธุรกิจในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน
เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและต่อยอดแนวคิด “การเติบโตที่ยั่งยืน” กับทุกภาคส่วน กลุ่มธุรกิจ TCP จึงจัดงาน “TCP Sustainability Forum 2025” เป็นปีที่ 4 ภายใต้แนวคิด “Sustainable Growth : The Future of Growth”
กลุ่มธุรกิจ TCP เชื่อมั่นว่าการมุ่งเน้นเพียงตัวเลขการเติบโตแบบรวดเร็วไม่ใช่ทางรอดในยุคใหม่ แต่ต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” เพื่อการเติบโตที่สร้างสมดุลระหว่างผลประกอบการ ระบบนิเวศ และความเสมอภาคทางสังคม นำไปสู่การเติบโตที่สร้างคุณค่าระยะยาวอย่างแท้จริง
งานนี้มีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิสะท้อนมุมมองต่อ “การเติบโตอย่างยั่งยืน” ในหลายระดับ ตั้งแต่ประเทศ องค์กร ไปจนถึง SME พร้อมส่งเสริมความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มสู่เป้าหมายความยั่งยืน

ความสัมพันธ์ ไทย-จีน เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืนไปด้วยกัน
จีนและไทยต่างยึดมั่นในหลักการเคารพซึ่งกันและกัน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าที่ผ่านมาจึงประสบความสำเร็จ และ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ถือเป็นทั้งเครื่องยนต์ขับเคลื่อนใหม่และจุดเด่นสำคัญของความร่วมมือระหว่างสองประเทศ
แนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนของจีน เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งรัฐบาลจีนได้วางนโยบาย “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ให้เข้ากับสภาพความเป็นจริงของประเทศและยังได้มอบ “แนวทางแบบจีน” เพื่อเป็นบทเรียนให้ประชาคมโลกได้นำไปศึกษาและปรับใช้
- ผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าสู่ตลาดจีน ควรศึกษาอย่างรอบด้านถึงศักยภาพการเติบโต แนวโน้มการพัฒนาอุตสาหกรรม และพฤติกรรมผู้บริโภคจีน ควบคู่ไปกับการมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง
- ไทยมีพื้นฐานและศักยภาพที่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ขณะที่จีน มีข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยีและศักยภาพในอุตสาหกรรมการผลิต ภาคธุรกิจ ไทย-จีน จึงสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องร่วมกัน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมยานยนต์พลังงานใหม่ และการวิจัยพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ส่งเสริมความร่วมมือด้านเกษตรสีเขียวและการแปรรูปอาหาร ผลักดันการปรับใช้เกษตรอัจฉริยะ ผสานศักยภาพการเกษตรของไทยเข้ากับเทคโนโลยีการเพาะปลูกสีเขียวของจีน เพื่อยกระดับภาคเกษตรกรรมของไทย
- เข้าร่วมงานแสดงสินค้า ไทย-จีน อาทิ งานมหกรรมแสดงสินค้านำเข้านานาชาติประเทศจีน (China International Import Expo – CIE), งานแสดงสินค้านำเข้า-ส่งออกจีน (Canton Fair) เพื่อเปิดโอกาสในการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจและเข้าถึงตลาดจีนได้มากขึ้น

ความจริงที่ต้องยอมรับ เพื่อปรับทิศทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของไทยไม่ให้หลงทาง
‘คนป่วยของเอเชีย’ คืออีกหนึ่งฉายาที่สื่อทั่วโลกใช้เมื่อกล่าวถึงประเทศไทย จากดัชนีระดับโลกหลายตัวที่จัดอันดับให้ไทยอยู่ในอันดับที่ถดถอยลงทุกปี และจากการพัฒนาที่ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายสำคัญหลากหลายด้าน
ในการจัดอันดับระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับ ‘ความเหลื่อมล้ำ’ ประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 50 จาก 85 ประเทศ ดัชนีชี้วัดในเรื่องการ ‘คอร์รัปชัน’ ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 112 จาก 180 ประเทศ ทั้งที่ ไทยเคยอยู่อันดับ 70 เมื่อ 15 ปีก่อน ส่วน ดัชนีชี้วัดด้านกฎหมาย ไทยเคยอยู่ในอันดับ 50 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มาในปีล่าสุดนี้กลับตกมาอยู่ในอันดับที่ 82 จาก 142 ประเทศ
ยิ่งในดัชนีชี้วัดผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Performance Index – EPI) ไทยอยู่ในอันดับที่ 90 จาก 180 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรายังดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพของประชาชนได้ไม่ดีพอ
ไทยจึงกำลังเติบโตแบบ ‘เปลือกนอก’ โตในเชิงตัวเลข แต่ไม่สามารถส่งต่อประโยชน์ให้กับประชาชนในประเทศได้อย่างแท้จริง ทั้งที่เรามีจุดแข็งหลายด้านที่มีส่วนทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ถ้าพัฒนาอย่างถูกวิธี
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยให้ลึกไปถึงโครงสร้าง ต้องอาศัย ‘ฉันทามุติ’ จากภาคส่วนต่างๆ เพราะหากสังคมเห็นตรงกันในเรื่องคุณค่าที่ควรยึดถือ นโยบายสาธารณะย่อมเปลี่ยนตาม
คงต้องเน้นย้ำว่าการเติบโตที่ดีไม่จำเป็นต้องเร็วที่สุด แต่ต้องโตอย่างถูกทาง มั่นคง กระจายรายได้อย่างเป็นธรรม และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะในท้ายที่สุด การเติบโตที่แท้จริง ไม่ได้วัดจากความร่ำรวยของประเทศ แต่วัดจากการที่คนส่วนใหญ่ของประเทศได้เดินไปต่อในอนาคตอย่างยั่งยืนร่วมกันมากกว่า

ปรับแผนธุรกิจ เพื่อรับโอกาสจาก Green Transition
การแข่งขันและความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจฝั่งตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาและมหาอำนาจฝั่งตะวันออกอย่างจีน ผลกระทบกับประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในด้านภาคตลาดทุน ภาคการผลิต และการเงิน
แต่การแข่งขันระหว่างสองมหาอำนาจนี้ ได้สร้างโอกาสให้กับภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยด้วยเช่นกัน เมื่อจีนเริ่มขยายฐานการผลิตไปยังประเทศอินเดียและอาเซียน และจุดนี้เองที่อาจทำให้สมาชิกประเทศอาเซียนหลายประเทศรวมถึงไทยกลายเป็นตลาดใหญ่ของโลกใน 10 ปีข้างหน้า อีกทั้งสถานการณ์นี้ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่และยั่งยืนมากขึ้นโดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว หรือ ‘The Great Green Transition’
หลายคนมีความกังวลว่าจะได้รับผลกระทบหรือไม่ เมื่อบางประเทศโดยมีการถอนตัวจากข้อตกลงปารีสและยกเลิกเป้าหมาย Net Zero ซึ่งในความจริง Green Transition ในครั้งนี้ยังจำเป็นต้องดำเนินต่อไป เพราะหลังจากนี้ภัยพิบัติในโลก จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น โดยคาดว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทุกประเทศต้องกลับมาสนใจในเรื่องนี้แน่นอน
ดังนั้น นอกจากการเตรียมการเรื่องกฎหมายและเตรียมความพร้อมภาคเอกชน องค์กรธุรกิจ ไปจนถึงผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมให้เข้าใจในเรื่องการลดการปล่อย CO2, การจัดการ Carbon Supply Chain และนวัตกรรมสีเขียวแล้ว การอัปเดตความรู้เรื่อง “การลงทุนสีเขียว” ที่ตอบโจทย์ Green Transition รวมถึงการลดหรือใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด ก็เป็นอีกหนึ่งด้านที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญ เพราะนี่เป็นการลงทุนที่ดีและเหมาะสมที่สุดในช่วงเวลานี้

Sustainable Growth มากกว่าเป้าหมายธุรกิจ คือ หนทางก้าวข้ามทุกวิกฤต
โลกในวันนี้กำลังส่งสัญญาณว่าการเติบโตแบบเดิมไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป เพราะการเติบโตทางตัวเลขอย่างรวดเร็วโดยปราศจากความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ถือเป็นการทิ้งภาระให้คนรุ่นต่อไปต้องแบกรับ ดังนั้น ท่ามกลางสถานการณ์และปัจจัยความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ในวันนี้ กลุ่มธุรกิจ TCP ยังคงเชื่อมั่นในการก้าวข้ามธุรกิจแบบเดิมด้วยกลยุทธ์ใหม่ที่จะนำสู่การเติบโตที่ยั่งยืน ซึ่งต้องผ่านการปรับสมดุล ประเมินทรัพยากรที่เรามี และคิดค้นวิธีการใหม่ ๆ จาก 2 แนวทาง คือ
- การปรับสมดุล (Rebalancing) ด้วยการประเมินและทบทวน เพื่อโฟกัสและจัดลำดับความสำคัญใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และบริบททางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม
- การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ (Reinvention) จากการเปลี่ยนวิธีการทำงาน วิธีคิด ช่องทางการจัดหน่าย ปรับรูปแบบธุรกิจให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น
การขับเคลื่อนธุรกิจให้เกิด “การเติบโตอย่างยั่งยืน” นั้น ต้องดำเนินการอยู่บนแนวทาง EESG ซึ่งมาจาก Economic, Environment, Social และ Governance
นอกเหนือจากนั้น มี 3 กลยุทธ์หลัก คือ
- ขยายการเติบโตอย่างหลากหลาย (Growth Diversification) เพราะในอีก 5 ปีข้างหน้าคาดว่าตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ TCP ให้ความความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี AI มาปรับใช้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนองค์กรและผลิตภัณฑ์ TCP ให้เติบโตอย่างยั่งยืน
- ยกระดับประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขัน (Operational Efficiency & Competitive Excellence) ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เทคโนโลยีและมนุษย์ก็ต้องอยู่ร่วมกัน TCP จึงร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อพัฒนาและปรับเอาเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ
- สร้างรากฐานเพื่ออนาคต (Future-Ready Foundation) โดยเฉพาะการพัฒนาคน เน้นการสร้างองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญภายในองค์กรในด้านต่างๆ เช่น AI, Digital, Innovation และ Analytics และการปลูกฝังแนวคิด ESG ให้อยู่ในดีเอ็นเอองค์กร เพื่อสร้างความยั่งยืนเป็นรากฐานการเติบโตของธุรกิจได้ในระยะยาว
และสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะขับเคลื่อนให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในยุคนี้ นั่นคือ ‘Adaptability’ หรือความสามารถในการปรับตัวขององค์กร เพราะความยั่งยืนที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้เมื่อองค์กรพร้อมปรับตัวรับทุกการเปลี่ยนแปลง และพร้อมเปลี่ยนทุกวิกฤตเป็นโอกาส ซึ่งถ้าทำได้ย่อมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและเป็นโอกาสของการเติบโตในอนาคตได้แน่นอน
สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เราอยากเห็นในปี 2030 คือ การทำงานร่วมกันเป็นอย่างดีระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยี และการมี Mindset ที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง เพราะนี่คือกุญแจสำคัญที่จะไขสู่ความสำเร็จในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

AI เครื่องมือทรงพลัง ในการเปลี่ยนผ่านสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
Microsoft ได้ขยายบทบาทจากผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สู่แพลตฟอร์ม Intelligence Engine เพื่อสนับสนุนให้องค์กรทุก ขนาดสร้างนวัตกรรมและเติบโตอย่างยั่งยืนแม้ว่าเทคโนโลยีจะมาดิสรัปทุกภาคส่วนก็จริง แต่ถ้าเราสามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงนี้ เทคโนโลยีก็สร้างประโยชน์ให้ทุกองค์กรได้มหาศาล
การปรับใช้ AI เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นไปได้ใน 4 มิติสำคัญ
1. Empower People : ปลดล็อกศักยภาพของพนักงานทุกระดับโดยไม่แทนที่คน แต่ทำให้คนทำงานได้ดีขึ้น
2. Reinvent Customer Experience : ปรับกลยุทธ์เพื่อทำความเข้าใจลูกค้ารายบุคคลได้ดียิ่งขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์เฉพาะที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง
3. Transform Business Process : เปลี่ยนกระบวนการทำงานให้ลื่นไหลและปรับตัวได้ไว
4. Accelerate Innovation : เร่งให้เกิดการทดลอง พัฒนาสินค้าและบริการ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น
และกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน คือ Innovation ที่สร้างความแตกต่าง และทำให้องค์กรมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่แท้จริง

Size doesn’t Matter ! ธุรกิจจะเล็กหรือใหญ่ก็ก้าวไปสู่การเป็น Role Model ของการเติบโตอย่างยั่งยืนได้
Section สุดท้ายของงาน “TCP Sustainability Forum 2025” เป็นการเปิดเวที Panel Discussion เพื่อพูดคุยกับต้นแบบ SMEs ไทย ที่ได้รับการสนับสนุนจาก เดอเบล บริษัทภายใต้ กลุ่มธุรกิจ TCP ผ่านโครงการ ‘Big Brother’ ซึ่งร่วมมือกับ หอการค้าไทย เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ให้เติบโตในเวทีธุรกิจทั้งในและต่างประเทศได้อย่างยั่งยืน
โดยผู้ประกอบการแต่ละคนได้มาแชร์ให้รู้ว่า “ขนาดของธุรกิจ” ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของการเติบโตอย่างยั่งยืน ทว่า ปณิธานและการวางเข็มทิศในการทำธุรกิจที่ชัดเจนและหนักแน่นต่างหาก ที่เป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโตไปพร้อมกับสังคมและสิ่งแวดล้อมที่พัฒนาขึ้นด้วย

จากแรงบันดาลใจเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในครอบครัว กับการทำขนมเพื่อสุขภาพให้ลูก ได้ขยายสู่ธุรกิจการผลิตอาหารส่งออกที่เลือกใช้วัตถุดิบพรีเมียม ผสานกับเทคโนโลยีการอบแบบ Airbake ที่ช่วยลดการใช้น้ำมันลงอย่างมาก ทำให้ผลิตภัณฑ์ป็อปคอร์นแบรนด์ PENNII มีความแตกต่างและเป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มผู้บริโภคที่รักสุขภาพ
“การใช้เทคโนโลยี Airpop นอกจากจะช่วยลดการใช้น้ำมันในผลิตภัณฑ์และลดปริมาณคาร์บอนฟุตพรินต์ได้อย่างมหาศาล รวมถึงทางแบรนด์ PENNII ยังใช้ข้าวจากโครงการที่ช่วยชาวเขาเลิกปลูกฝิ่นและหันมาปลูกพืชสร้างรายได้ใน 11 ประเทศ และที่ผ่านมา เราได้ทำวิจัยเพื่อระบุปริมาณคาร์บอนที่ลดได้ต่อป๊อปคอร์น 1 ถุง เพื่อสื่อสารให้ผู้บริโภคเห็นว่าการบริโภคสินค้าของแบรนด์มีส่วนช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย”

เมื่อพลาสติกถูกมองว่าเป็นตัวการซ้ำเติมภาวะโลกร้อน “ไทยนำ โพลีแพค” ผู้ผลิตแพคเกจจิงและผลิตภัณฑ์จากพลาสติก จึงเปลี่ยนวิกฤตนี้เป็นโอกาส ด้วยการนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาเป็นแนวทางในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน ทั้งฟิล์มย่อยสลายได้ 100 % จากพืช บรรจุภัณฑ์จากเยื่อไผ่ และการพัฒนาแพคเกจจิงโดยใช้วัสดุรีไซเคิลและใช้วัสดุ Mono-material ซึ่งผ่านการทดสอบและวิจัยแล้วว่าไม่มีพลาสติกตกค้างในดินเลย
“ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันต้นทุนของไบโอพลาสติกยังคงสูง แต่เราเชื่อว่าถ้ามีการยกระดับกฎระเบียบและทำให้เกิดกระแสความตื่นตัวของคนในสังคมในการหันมาใช้ไบโอพลาสติกและผลิตภัณฑ์แพคเกจจิงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ ย่อมจะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการทุกภาคส่วนต้องเปลี่ยนแปลง อย่างความสำเร็จในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้สามารถรีไซเคิลให้ได้ 100%ของ TCP ถือเป็นตัวอย่างสำคัญที่ยืนยันให้เห็นว่าการวางเป้าหมายที่ชัดเจนบวกกับความมุ่งมั่นตั้งใจขององค์กรธุรกิจไทยสามารถขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความยั่งยืนได้จริง”

บริษัท คอมมอน ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของผู้ประกอบการที่เล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจจากเทรนด์อาหารแห่งอนาคต หรือ Future Food โดยเฉพาะการผลิต Personalized Nutrition หรือการออกแบบอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะกับร่างกายของแต่ละคน ซึ่ง “คอมมอน ฟู้ด โซลูชั่น” ได้จัดตั้งโรงงานผลิตอาหารเฉพาะทาง ที่ผลิตอาหารสำหรับกลุ่มเฉพาะ เช่น แม่และเด็ก ผู้ป่วย และผู้ที่มีข้อจำกัดด้านการกิน
“ความท้าทายหลักในการทำธุรกิจ คือ การควบคุมคุณภาพสินค้าที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เราต้องลงไปทำงานอย่างใกล้ชิดกับเกษตรกรซึ่งทำให้รู้ว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ของขยะในประเทศไทย คือ ‘ขยะอาหาร’ หรือ Food Waste ที่เกิดจากทุกครัวเรือน ร้านอาหาร และจากผลผลิตของเกษตรกรที่ไม่สามารถจำหน่ายได้เนื่องจากรูปลักษณ์ภายนอกไม่สวยงาม แม้จะยังไม่เน่าเสียก็ตาม นี่จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เราตั้งเป้าหมายช่วยลดปัญหานี้ด้วยการรับซื้อผักผลไม้ที่หลุด QC จากเกษตรกรมาผลิตเป็นสินค้า ติดตั้งโซลาร์เซลล์ ผลิตน้ำใช้เอง และสร้างระบบจัดการขยะที่ชุมชนรอบโรงงานมีส่วนร่วม”

แม้ไม่ใช่ผู้ประกอบการ SME แต่คุณพรฤทัยสามารถสะท้อนให้เห็นถึงภาพวิกฤตของการบริหารจัดการ “ขยะชุมชน” ที่ทำให้เกิดการทำงานร่วมกับภาคธุรกิจ ภาควิชาการ หน่วยงานท้องถิ่น และชุมชน เพื่อแก้ปัญหานี้ผ่านโครงการ “TCP ปลุกพลังความยั่งยืน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน” ได้เป็นอย่างดี
“โครงการ “TCP ปลุกพลังความยั่งยืน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน” เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของ กลุ่มธุรกิจ TCP และ IUCN ที่ร่วมกันทดลองศึกษาโมเดล Extended Producer Responsibility (EPR) ผ่านการทำงานจริงในพื้นที่จังหวัดระนอง โดยการทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งการทำกิจกรรมกับร้านค้าและชุมชน”
“โดยหนึ่งใน Key success ของโครงการคือ ‘ร้านโชห่วยในชุมชน’ ที่ร่วมมือกับทางโครงการ ด้วยการออกโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ถ้าชาวบ้านซื้อผลิตภัณฑ์ 8 ชิ้น แล้วคืนบรรจุภัณฑ์กลับมาทางร้านค้า ก็สามารถแลกรับสินค้าได้ 1 ชิ้น ทำให้ร้านโชห่วยกลายเป็นจุดรับคืนบรรจุภัณฑ์และตัวกลางเชื่อมโยงผู้บริโภคเข้ากับระบบรีไซเคิลโดยปริยาย และเมื่อร้านค้าเก็บบรรจุภัณฑ์ได้จำนวนหนึ่ง ก็สามารถนำไปขายต่อให้กับโรงรับซื้อรีไซเคิลที่ได้มาตรฐาน สร้างรายได้เสริมให้กับร้านค้า ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็เรียนรู้ว่าบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วไม่ใช่ขยะ แต่มีมูลค่า ขายได้”
“ผลที่เกิดขึ้นจากการทำโครงการนี้ คือ ความร่วมมือกันของคนในชุมชน ที่ไม่เพียงเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการขยะ แต่ยังผลักดันไปสู่ “เทศบัญญัติท้องถิ่นว่าด้วยการจัดการขยะ” ได้สำเร็จ ซึ่งผลสำเร็จนี้เองที่สะท้อนว่า ชุมชนคือแรงขับเคลื่อนที่แท้จริงซึ่งนำไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนที่เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน”