Customize Consent Preferences

We use cookies to help you navigate efficiently and perform certain functions. You will find detailed information about all cookies under each consent category below.

The cookies that are categorized as "Necessary" are stored on your browser as they are essential for enabling the basic functionalities of the site. ... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

No cookies to display.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

No cookies to display.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

No cookies to display.

Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

No cookies to display.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customized advertisements based on the pages you visited previously and to analyze the effectiveness of the ad campaigns.

No cookies to display.

แม่น้ำโขงอาจล่มสลาย หากยังไม่หยุดสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้า? - EnvironmanEnvironman

แม่น้ำโขงอาจล่มสลาย หากยังไม่หยุดสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้า?

อีกด้านของพลังงานสะอาดที่อาจเป็นผู้ทำลายพื้นที่ป่า-ระบบนิเวศแม่น้ำโขง

ย้อนกลับไปช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม การสร้างเขื่อนเริ่มเป็นที่นิยมเพื่อตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้นของมนุษย์และเพื่อตอบสนองการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังเดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร

สำหรับในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขื่อนได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นพิเศษในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ด้วยปัจจัยการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาลงทุนในลาว และกระแสทั่วโลกที่มีการผลิตพลังงานจากน้ำ (Hydropower) 

ประเทศไทยเริ่มลงหลักปักฐานเขื่อนในยุคสงครามเย็น เมื่อปี 2500 เป็นต้นมา โดยไทยมีเขื่อนแห่งแรกคือ “เขื่อนภูมิพล” ที่เปิดใช้เมื่อ พ.ศ.2507 เพื่อเป็นเขื่อนอเนกประสงค์และมีโรงไฟฟ้าพลังงานน้ํา และมีเขื่อนปากมูลเป็นเขื่อนสุดท้ายที่ถูกสร้างในประเทศเมื่อปี 2536 แต่หลังจากนั้นก็มีการหันไปเซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อนลาวมากขึ้น 

ด้วยแนวโน้มการตระหนักถึงปัญหามลพิษจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่เริ่มชัดเจนขึ้นในช่วงหลังยุคสงครามเย็น ทำให้ทั่วโลกเริ่มมองหาพลังงานทางเลือก โดย ‘พลังงานไฟฟ้าจากเขื่อน’ ได้กลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ ก่อนที่จะถูกนำกลับมาตั้งคำถามในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและการรื้อถอนไปหลายร้อยโครงการทั่วโลกถึงความได้ไม่คุ้มเสียที่ต้องแลกกับการพังทลายของระบบนิเวศและวิถีชีวิตของผู้คน

ภูมิศาสตร์ที่อุดมสมบูรณ์ของคาบสมุทรอินโดจีนอันมีแม่น้ำโขงไหลผ่าน ทำให้เหมาะแก่การลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในยุคนั้น

เขื่อนผลิตไฟฟ้า ในนามของพลังงานสะอาด​ ?

ข้อหนึ่งที่น่าตั้งข้อสังเกตคือ การนิยามคำว่า “พลังงานสะอาด” ในโลกปัจจุบันที่หมายรวมการผลิตพลังงานจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ํา โดยเฉพาะในแผน PDP หรือแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าฉบับล่าสุดของไทย แต่หากมองไปถึงกระบวนการการสร้างเขื่อนจะพบว่า การเกิดขึ้นของเขื่อนสักเขื่อนนั้นปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก

นอกเหนือจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การสร้างเขื่อนยังก่อให้เกิดก๊าซมีเทน อันเป็นก๊าซเร่งสภาวะโลกร้อนที่คนมักไม่ค่อยพูดถึงแต่พลังทำลายที่รุนแรงกว่า อย่างในภาวะย่อยสลายพืชและวัสดุอินทรีย์ที่จมน้ำในพื้นที่เขื่อนที่ถูกน้ำแทนที่เข้ามาพื้นที่ธรรมชาตินั้น เมื่อใต้น้ำมีสภาวะออกซิเจนไม่เพียงพอ ก็จะทำให้กระบวนการย่อยสลายนั้นปล่อยก๊าซมีเทนออกมา ซึ่งการปล่อยก๊าซมีเทนจากอ่างเก็บน้ำส่งผลต่อภาวะโลกร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่า และการปล่อยก๊าซมีเทนจากเขื่อนผลิตไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วน 5.2% ของการปล่อยก๊าซมีเทนโดยมนุษย์

“ธรรมชาติที่พัง คือต้นทุนจากเขื่อนที่ต้องจ่าย”

ไพรินทร์ เสาะสาย ผู้ประสานงานการรณรงค์ องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เล่าถึงผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อนให้เราได้เห็น พร้อมตั้งคำถามว่า “เราจะเรียกพลังงานเหล่านี้ว่าเป็นพลังงานสะอาดได้หรือไม่ หากมันต้องแลกมาด้วยการสูญเสียธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คน?”

“เขื่อนถูกสร้างบนพื้นที่ป่า และระบบนิเวศมันคือต้นทุนหนึ่งในการสร้างเขื่อน เขาเอาแต่บอกว่าพลังงานน้ำไม่มีต้นทุน มีแค่ก้อนหิน คอนกรีต แรงงาน น้ำ แต่เขาไม่ได้นับต้นทุนด้านสังคม สิ่งแวดล้อม ต้นทุนในแม่น้ำ เช่น คน ปลา สิ่งแวดล้อมที่มีชีวิตต่าง ๆ เลย มันคือสิ่งที่มีมูลค่า มีคุณค่าต่อระบบนิเวศและชุมชนริมโขงที่มีคนอาศัยแม่น้ำอีกกว่า 65 ล้านคนริมแม่น้ำสายนานาชาติแห่งนี้ 

การกั้นเขื่อนครั้งหนึ่ง แม้จะไม่ว่าจะห่างไปสักกี่กิโลเมตร แต่มันก็ส่งผลกับประชาชนท้ายน้ำ อย่างล่าสุด สัปดาห์ที่ผ่านมา เขื่อนในประเทศจีนระบายน้ำมาตลอด ซึ่งมันก็มากระทบคนที่อุบลราชธานีที่อยู่ห่างเขามา เป็นสองพันกิโลเมตร ปลูกที่ผักโดนท่วมหมด นกที่อพยพมาในฤดูแล้งที่ควรจะมาวางไข่ที่หาดทรายแม่น้ำโขงก็ไม่รู้จะรอดและฟักต่อได้ไหม เพราะไข่บนหาดโดนน้ำท่วมหมด ซึ่งนี่แค่เขื่อนจีนยังไม่รวมเขื่อนในลาวที่มีอยู่อีก 

สิ่งที่ตามมาคือระบบนิเวศเปลี่ยนไป ระบบน้ำที่เปลี่ยน ตะกอนที่มันไม่ถูกระบายมาตามปกติ ทำให้พืชในน้ำที่เป็นอยู่อาศัยของปลามันเสียหายไปเยอะมาก”

พื้นที่ในแม่น้ำสายย่อยยังได้รับผลกระทบจากภาวะขึ้น-ลงของน้ำในแม่โขงจากการปล่อยน้ำของเขื่อนต้นทางในจีน

ปัจจุบันแหล่งพลังงานไทยมาจากไหนบ้าง?

นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่ใช้ในประเทศไทยมากกว่า 40-72% นั้นมาจากการพึ่งพาเชื้อเพลิงที่เป็นก๊าซฟอสซิล ก๊าซเหลวแอลเอ็นจี (LNG) ซึ่งถูกนับเป็นตัวการสำคัญในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รองลงมายังคงมี ‘พลังงานน้ำ’ หนึ่งในแหล่งผลิตไฟฟ้าที่นับเป็นพลังงานสะอาดลำดับสำคัญต้น ๆ และไทยยังคงต้องพึ่งพาการซื้อจากเขื่อนในประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว

สันติชัย อาภรณ์ศรี ผู้ประสานงาน JustPow ตั้งคำถามถึงการจัดหาซื้อพลังงานไฟฟ้าจากเขื่อนในลาวของรัฐไทยว่า “หากเรามองว่าพลังงานน้ำเป็นพลังงานที่ถูก แต่เหตุใดรัฐถึงไม่ต่อสัญญากับเขื่อนเดิมที่เราเคยทำสัญญาด้วย แต่กลับเลือกลงทุนสร้างเขื่อนใหม่กับเอกชน?” ซึ่งการสร้างนั้นอาจหมายถึงค่าไฟที่มีราคาแพงขึ้น เนื่องจากการลงทุนสร้างเขื่อนที่มีราคาต้องจ่าย และวัสดุ ขั้นตอนการก่อสร้างที่แพงขึ้นตามยุคสมัย รวมไปถึงพื้นที่ธรรมชาติที่ต้องสูญเสียไป วิถีชีวิตผู้คนที่ต้องสูญหายและอพยพออกจากพื้นที่

จึงเกิดเป็นคำถามว่า การไม่ต่อสัญญากับเขื่อนเดิมและเพิ่มการร่วมลงทุนสร้างเขื่อนใหม่เช่นนี้เป็นไปเพื่อเหตุผลอะไร และจะส่งผลกระทบต่อค่าไฟที่คนไทยจะต้องจ่ายแพงมากขึ้นด้วยหรือไม่

รายชื่อเขื่อนบนแม่น้ำโขงปัจจุบัน สีแดงคือสถานะเขื่อนที่ก่อสร้างแล้ว สีเหลืองคือเขื่อนที่กำลังอยู่ในแผน และสีฟ้าคือเขื่อนที่ถูกชะลอ

แผนด้านพลังงานสู่เป้าหมาย NET ZERO ของไทยชัดเจนแค่ไหน?

ภายใต้เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 ของประเทศไทย และการประกาศจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 ที่มีกรอบเวลาชัดเจน แต่ทว่า ข้อน่าสังเกตคือความชัดเจนของทิศทางการใช้พลังงานที่จะปลดระวางการใช้ก๊าซฟอสซิลและเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดนั้นจะเป็นไปในแนวทางใด 

แม้แต่แผน PDP หรือแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของไทยฉบับล่าสุดในปี 2024 ก็พบว่ามีการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานในประเทศจากเขื่อนต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 9% เป็น 15% ซึ่งก็เปรียบเหมือนใบอนุญาตให้ ‘เขื่อน’ ยังคงมีอยู่ต่อไปได้ และอาจถูกใช้เป็นข้ออ้างในการอนุมัติโครงการสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงได้มากขึ้นด้วย ทั้งที่ เทคโนโลยีในปัจจุบันมีพลังงานทางเลือกมากมายซึ่งอาจส่งกระทบธรรมชาติและผู้คนน้อยกว่า รวมถึงใช้งบประมาณและระยะเวลาการสร้างที่น้อยกว่า

ในปัจจุบัน เรื่องของการก่อสร้างเขื่อนทั่วโลกกลับมาเป็นที่ถกเถียงอีกครั้งทำให้หลายประเทศมีการรื้อถอนหรือยกเลิกโครงการเขื่อนไป เช่น แผนรื้อถอนเขื่อน 4 แห่งในแม่น้ำ Klamath ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติและประชากรปลาแซลมอน รวมถึงการรื้อถอนเขื่อน ฝายชะลอน้ำเกือบ 500 แห่งในยุโรปเมื่อปี 2023 อันเป็นครงการรื้อถอนเขื่อนยุโรป Dam Removal Europe เป็นความร่วมมือระหว่าง 6 องค์กร คือ World Fish Migration Foundation, WWF, the River Trust และ Rewilding Europe

แนวทางการใช้พลังงานของทั่วโลกที่เปลี่ยนไปเป็นโจทย์ให้รัฐบาลไทยต่อจากนี้ว่าจะมีการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างไรให้เป็นธรรม มั่นคง และลดผลกระทบต่อผู้คน สิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด รวมถึงบทบาทของความร่วมมือระหว่างประเทศที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อผู้คนที่พึ่งพาอาศัย ‘แม่น้ำโขง’ แม่น้ำสายนานาชาติแห่งนี้

อ้างอิง

https://justpow.co/news-against-dam/?fbclid=IwY2xjawJAADJleHRuA2FlbQIxMAABHSw0G_zc9peFT_iEFPc-Zy6dIOvK3T5_rYaD32NQMVhq5rz1Dh_7fFNI9Q_aem_bXGVDnrRfm7QsPHgnFV43g

https://justpow.co/infographic-fuel-consumption-power-generation/

https://web.facebook.com/photo/?fbid=5340287689432968&set=a.1745027465625693&locale=th_TH

https://web.facebook.com/photo/?fbid=732118435797120&set=a.521543386854627&locale=th_TH

Credit

Chayanit S.

เป็นคนกรุงเทพฯ ชอบเดินเที่ยวเมือง ฟังเพลงซ้ำ ๆ นั่งโง่ ๆ ดูคนคนใช้ชีวิต :-)