“การต่อสู้ของกรรมกรหญิงโรงงานกางเกงยีนส์ฮาร่า” การเคลื่อนไหวของแรงงานหญิงที่สะท้อนภาพความอยุติธรรมในโลกแฟชั่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ก่อนที่โลกจะพูดถึง Fast Fashion ก่อนที่เราจะได้ยินข่าวการกดขี่แรงงานในแบรนด์ระดับโลก ความอยุติธรรมเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสังคมไทย และเกิดการลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่เอาเปรียบแรงงาน หนึ่งในนั้นคือ ‘การเรียกร้องโดยกรรมกรหญิงโรงงานกางเกงยีนส์ฮาร่า’ การเคลื่อนไหวสำคัญครั้งหนึ่งบนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยช่วง 2518-2519
ย้อนกลับไปเดือนตุลาคม พ.ศ. 2518 ได้เกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่มกรรมกรหญิงครั้งใหญ่ โดยกรรมกรหญิงในโรงงานกางเกงยีนส์ฮาร่าได้รวมตัวกันนัดหยุดงานเพื่อประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมทั้งเรื่องสวัสดิการ ค่าตอบแทน และสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ควรจะได้รับ
นิยม ขันโท หนึ่งในกรรมกรหญิงโรงงานกางเกงยีนส์ฮาร่าเล่าในสารคดี “การต่อสู้ของกรรมกรหญิงโรงงานฮาร่า” โดยผลิตโดย จอน อึ๊งภากรณ์, สุดาทิพย์ อินทร, ลาวัณย์ อุปอินทร์ และ สมโภชน์ อุปอินทร์ ในยุคนั้นว่า
“โรงงานมีคนงาน 200 คน แต่มีห้องน้ำอยู่ห้องเดียว”
“น้ำดื่มไม่มี ตู้ยาไม่มี”
“ถ้าเราทำเข็มหัก ก็จะต้องซื้อของโรงงานคืนในราคา 7 บาท ทั้งที่ข้างนอกขาย 1 บาท”
นอกจากนี้ยังมีการลักลอบใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 25 ปี โดยกรรมกรอายุ 15 ปีที่เข้ามาทำงานเล่าว่า “เวลามีเจ้าหน้าที่มาทีไร นายจ้างก็ให้เข้าไปซ่อนในห้องน้ำทุกที”

กรรมกรหญิงโรงงานกางเกงยีนส์ฮาร่าให้สัมภาษณ์ในสารคดีโดยจอน อึ๊งภากรณ์ และเพื่อน
ความไม่พอใจในการถูกกดขี่เหล่านี้จึงนำไปสู่การร่วมกันยื่นข้อเรียกร้อง 10 ข้อ โดยมีเนื้อหาให้มีการขึ้นเงินเดือนค่าจ้าง การจ่ายโบนัส สวัสดิการ และการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในที่ทำงานและชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสม ฯลฯ แม้พวกเขาจะมองว่าเป็นข้อเรียกร้องพื้นฐานที่ควรมี แต่ผลที่ได้รับกลับเป็นการไล่ตัวแทนผู้เจรจาออก และเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้อง

จนในที่สุด 19 ธันวาคม 2518 กรรมกรได้ทำการยึดโรงงานและออกมาผลิตสินค้าด้วยกลุ่มตัวเองและตั้งชื่อว่า “สามัคคีกรรมกร” โดยขายหุ้นให้ประชาชนหุ้นละ 20 บาท เพื่อขอระดมทุนช่วยเหลือคนงานที่ถูกลอยแพ แต่ในที่สุด นักศึกษาและกรรมกรหลายคนกลับถูกนำคุมขังในข้อหาผิดกฎหมายโรงงาน เหตุการณ์จึงยิ่งบานปลายและกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ของนิสิตนักศึกษา
นอกเหนือจากการต่อสู้ของกรรมกรหญิงโรงงานกางเกงยีนส์ฮาร่า พบว่าช่วงประชาธิปไตยเบ่งบาน ปี 2516-2519 มีการเคลื่อนไหวนัดหยุดงานของกลุ่มชนชั้นกรรมกรหลายร้อยครั้ง หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เพียงต.ค. – พ.ย. มีการนัดหยุดงานถึง 180 ครั้ง , ปี พ.ศ. 2518 นัดหยุดงานอีก 241 ครั้ง และ ใน พ.ศ. 2519 จนถึง เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ มีการนัดหยุดงาน 133 ครั้ง ซึ่งแม้รัฐจะมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 12 บาทต่อวันแล้ว แต่ก็ถือเป็นค่าแรงที่ต่ำเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ และที่น่าเศร้ากว่านั้นคือโรงงานจำนวนมากยังจ่ายค่าแรงที่ต่ำกว่ามาตรฐานอยู่

แม้เวลาจะผ่านไป 50 ปี ระบบสวัสดิการแรงงานในไทยจะเป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น แต่เหตุการณ์นี้ยังคงเป็นภาพสะท้อนของความไม่ยุติธรรมในอุตสาหกรรมแฟชั่นเช่นเดิม หากเพียงแต่เปลี่ยนไปสู่เวทีระดับโลกที่เราเกิดขึ้นกับแรงงานในประเทศโลกที่สาม
หลายแบรนด์ระดับโลกยังถูกตั้งคำถามซ้ำ ๆ ว่า เบื้องหลังเสื้อผ้าที่ผลิตไว ราคาถูกเหล่านั้นพวกเขากำลังจ่ายเงินให้กับแรงงานด้วยค่าจ้างที่ไม่เพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตหรือไม่? หรือแรงงานต้องทำงานวันละ 12–16 ชั่วโมง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมโรงงานที่ย่ำแย่ ไม่ปลอดภัย ไร้หลักประกัน เพียงแค่เพราะเขาไม่มีทางเลือก
ประวัติศาสตร์ของแรงงานหญิงโรงงานฮาร่าจึงไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตและแยกขาดจากสิ่งที่พวกเรากำลังเจอกันในปัจจุบัน ภาพการกอบโกยผลกำไรมหาศาลของเหล่าบริษัทแวดวงแฟชั่นที่มาพร้อมกับเบื้องหลังที่ไม่เป็นธรรมต่อแรงงานและสิ่งแวดล้อมอาจเป็นสิ่งที่ยังเกิดขึ้นซ้ำ ๆ หากคนในระบบทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ยังคงปิดหูปิดตาต่อเรื่องเหล่านี้
ทั้งนี้ เหตุการณ์สำคัญบนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยนี้ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย รวมถึงเหตุการณ์นี้ถูกบันทึกไว้ในภาพยนตร์สารคดี “การต่อสู้ของกรรมกรหญิงโรงงานฮาร่า” โดยจอน อึ๊งภากรณ์, สุดาทิพย์ อินทร, ลาวัณย์ อุปอินทร์ และ สมโภชน์ อุปอินทร์ ที่บันทึกภาพเหตุการณ์จริงในช่วงนั้นและได้สัมภาษณ์กรรมกรในโรงงาน อันกลายเป็นหลักฐานการต่อสู้ชิ้นสำคัญของแรงงานไทย โดยในเวลาต่อมา หนังเรื่องนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภาพยนตร์ของชาติด้วย
อ้างอิง
สารคดี “การต่อสู้ของกรรมกรหญิงฮาร่า พ.ศ. ๒๕๑๘-๒๕๑๙” : https://youtu.be/XJYlTg2AlYA?si=VvVXWAc-NonG5mjZ