เปลี่ยนร้านอาหารให้กรีนจะเริ่มจากตรงไหนให้กำไรยังมี สิ่งแวดล้อมยังรอด?

5 ข้อคิดชวนร้านอาหารมาลองกรีนแบบไม่เจ็บตัว

เปิดร้านอาหารกรีนรอดหรือร่วง? อยากทำธุรกิจตัวเองให้ดีกับโลกควรเริ่มจากตรงไหนดี? รวม 5 ข้อคิดจากวงทอล์คในโปรเจกต์ Restaurant Makeover โดย PEAR is hungry ที่อยากชวนทุกคนมาเริ่มปรับร้านให้ดีกับโลกกัน!

หลายคนที่เคยขายของหรือทำธุรกิจเคยติดบั๊กนี้กันไหมนะ? อยากจะเป็นร้านเท่ ๆ อยากจะเป็นร้านที่โกกรีนกับเขาบ้างงง แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง หรืองงว่าทำแค่ไหนถึงจะดีต่อโลก แล้วมันจะต้องเริ่มยาก ยุ่งยากกว่าเดิมมั้ยเนี่ย?

เราเอาบทสรุปจากเซสชั่น ‘กระแสโลกเดือดส่งผลกับร้านอาหารจริงไหม’ จากพี่ต่อเพนกวิน กับ ร้านแบบกรีนๆทำจริงรอดหรือร่วง จากโมเดลพี่ ๆ ร้านกรีน 3 ร้าน มาเล่าให้ทุกคนฟังกัน

วงสนทนาสองช่วงนี้ช่วยตอบคำถามในอีกมุมหนึ่งที่คนชอบคิดว่า “การทำเรื่องกรีนนั้นจะเป็นค่าใช้จ่ายที่งอกมาและเป็นเรื่องไม่มีประโยชน์” แต่เราเชื่อว่าจริง ๆ แล้ว มันเป็นผลดีต่อธุรกิจเราเองมากกว่าการช่วยโลกด้วยซ้ำนะ ทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย เรื่องภาพจำของธุรกิจที่จะดึงดูดลูกค้าที่ให้คุณค่าในสิ่งเดียวกับเรามาอุดหนุนได้มากขึ้น เราสรุป 5 ข้อที่เราชอบมาแชร์ให้อ่านกัน

1. ร้านเริ่มต้นโกกรีนได้จากจุดเล็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่

พี่โบ-ดวงพรจากร้าน Bo.lan และ ERR Urban Rustic Thai เล่าว่า จุดเริ่มต้นการทำร้านให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมันแค่จุดเล็ก ๆ จุดเดียวเท่านั้น คือวันที่เขาหันไปเจอ “กองขวดน้ำมหึมา” ที่พะเนินอยู่หลังร้านแล้วคิดว่าเราสร้างขยะเยอะเลยหรอ เลยเปลี่ยนเป็นสั่งขวดแก้วที่รับคืนได้ + ติดตั้งเครื่องกรองน้ำ ผลก็คือลดรายจ่ายและประหยัดเวลาไม่ต้องคอยเอาไปแยก หลังจากนั้นก็ค่อยตามมาด้วยกันแยกขยะประเภทอื่นที่สะดวก แต่ที่สำคัญคือต้องรู้ว่าแยกแล้วจะเอาไปไหน ทำประโยชน์อะไรต่อ

2. ไม่ว่าจะทำอะไรในโลกก็ต้องลงทุน แต่การลงทุนกับต่อสิ่งแวดล้อมจะสร้างกำไรในระยะยาว

สำหรับข้อนี้ พี่ต่อเพนกวิน (Torpenguin) มองเรื่องของกรีนกับธุรกิจว่า “กำไร” ที่ว่านี้ มันคือการที่โมเดลธุรกิจของเราเป็นอะไรที่มีคุณค่าต่อสังคม เมื่อเราลงมือทำไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งมีคนมองเห็น กลายเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของร้านไปเอง ลองเทียบว่าเอาเงินไปลงกับการยิงแอดหรือการเอาเงินมาปรับปรุงระบบในร้าน ถ้าเลือกยิงแอด ก็จะเกิดคำถามต่อมาว่า จะยิงแอดเล่าสตอรีแบรนด์ แต่แบรนด์เราไม่มีอะไรให้เล่า แล้วเราจะเล่าอะไร?

แต่ถ้าเลือกสิ่งหลังก็ย่อมคุ้มกว่า แน่นอนว่าการลงมือวางระบบมันดีกับร้านเราในระยะยาว เช่น ลดขยะ ร้านสะอาดขึ้น ลดเวลาทำความสะอาด ลดกลิ่นเหม็นในร้าน อีกทั้งเอาสิ่งนี้ที่ทำไปบอกต่อได้ และสุดท้ายแบรนด์ดิ้งที่ติดตัวแบบนี้ก็จะดึงดูดกลุ่มคนที่ให้คุณค่าในสิ่งเดียวกันเข้ามาอุดหนุนและซัพพอร์ตเรา เพราะเรื่องดี ๆ มีความรับผิดชอบต่อสังคม ใคร ๆ ก็อยากช่วยสื่อสาร

3. ความยั่งยืนคือ “ทุกอย่างและทุกคนรอบตัว” ที่จะทำให้ธุรกิจเราไปต่อได้นาน ๆ

คีย์หนึ่งที่สำคัญและหลายธุรกิจไม่ควรละเลยคือการคีพคนรอบตัวและรักษาแหล่งวัตถุดิบที่เราเอามาใช้ทำมาหากินเอาไว้ให้อยู่ได้นาน ๆ พี่โบเปรียบว่าถ้าเราไม่ตอบแทนธรรมชาติหรือดูแลสิ่งแวดล้อม มันคงเป็นเหมือน ‘การทุบหม้อข้าวตัวเอง’ เพราะวันนึงวัตถุดิบเหล่านี้อาจหมดไป เหมือนอย่างที่เคยเจอโลกรวน อากาศร้อน เคยเจอกะหล่ำปลีไม่มาส่ง ฯลฯ ก็ทำให้เห็นว่ามันเชื่อมกันหมด

หรือในมุมพี่ต่อเองก็มองว่าความยั่งยืนเป็นเรื่องที่ต้องดูแล “คน” หนึ่งในทรัพยากรที่สำคัญไปด้วย เพื่อให้พวกเขายืนได้และระบบนิเวศร้านอาหารมันโตไปพร้อม ๆ กันได้หมด ทั้งการอุดหนุนวัตถุดิบจากชุมชนที่เป็นคนดูแลทรัพยากรพวกนี้ที่ต้นทางหรือดูแลพนักงานในร้านที่คอยจัดการเรื่องหลังบ้านให้ เหมือนกับที่ร้านพี่ต่อที่เปิดโอกาสให้พนักงานที่มีทางเลือกในชีวิตน้อย ยังมีปัญหาหนี้นอกระบบบ้าง การเงินติดขัดบ้าง เพราะถ้าอยากให้พวกเขาช่วยเหลือคนอื่นได้ ก็ต้องทำให้เขาอยู่รอดด้วยตัวเองได้ก่อน

4. โจทย์ใหญ่แต่ไม่ใหญ่เกินกว่าจะรับมือคือ “การดีลกับพนักงานในร้าน”

ข้อนี้น่าสนใจว่าพาร์ทที่ยากที่สุดไม่ใช่การเริ่มลงมือทำ แต่เป็นการทำยังไงให้รักษาความต่อเนื่องเอาไว้ได้ ทั้งพี่โบจากโบ.ลาน พี่รินจาก OmakaHed by Uncleree farmและพี่เคจาก earlybkk ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เจ้าของร้านนี่แหละที่ต้องทำมากที่สุด ด้วยความที่เป็นตัวตั้งตัวตี ก็ต้องพยายามทำให้คนในร้านเห็นและทำเป็นหน้าที่ให้ได้มากที่สุด สิ่งที่ต้องย้ำคือ นี่ไม่ใช่การขอความร่วมมือ แต่เป็น “หน้าที่” ที่ต้องให้ทุกคนทำ

อย่างร้านพี่โบก็จะเขียนตอนเปิดรับสมัครเลยว่า มีการแยกขยะเป็นหน้าที่นะ และจะเป็นสกิลที่พนักงานจะได้ติดตัวไป เผื่อในอนาคตได้ไปทำงานสายโรงแรมใหญ่ ๆ ก็จะเป็นประโยชน์ด้วย หรือร้าน Early BKK ก็มีการเทรนด์ให้ก่อนเริ่มงานและจะมีให้รางวัลประจำสัปดาห์กับพนักงานที่แยกขยะได้ดีด้วย ส่วนร้าน Unclereefarm ก็จะมีลุงรีย์เป็นคนดูแลหน้าถังเป็นหลัก ส่วนขยะที่แยกได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะให้แม่บ้านไปเพราะถือว่าเขาเป็นคนสำคัญที่มีส่วนช่วย แต่ทั้งหมดนี้ สต๊าฟของทุกร้านก็ไม่ใช่คนที่เคยมีประสบการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมใด ๆ มาก่อน ขอเพียงแค่พร้อมเปิดใจและเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับธุรกิจพอ

5. ทำมากทำน้อยไม่ว่ากัน แต่ขอแค่ “ทำไปเรื่อย ๆ”

กายพร้อม ใจพร้อมเราทำได้! สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นกรีนนั้นไม่ต้องคิดเยอะ อาจเริ่มที่บ่อดักไขมันหลังร้าน เริ่มจากการแยกขยะเศษอาหาร หรือการใช้หลอดไฟ LED ประหยัดน้ำไฟ ฯลฯ ถึงจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่นั่นแปลว่าคุณเดินมาครึ่งทาง มีใจที่พร้อมจะปรับเพื่อโลกแล้ว! คีย์สำคัญคือขอแค่ทำอย่างสม่ำเสมอ อาจจะลองวางเป้าหมายขอปีละข้อก็ได้ ถ้าสำเร็จ ปีถัด ๆ ไปก็ค่อยเพิ่มเป้าหมายไปเรื่อย ๆ ถ้ายิ่งทำได้สม่ำเสมอมาก มันก็จะยิ่งเป็นความยั่งยืนได้ไม่อยาก!

เชื่อว่าในแง่การจัดการหลังบ้านของแต่ละร้านคงจะมีขั้นตอนการทำงานไม่เหมือนกัน แต่วงสนทนานี้น่าจะเป็นประโยชน์ให้หลาย ๆ คนที่กำลังทำธุรกิจอยู่และหลายร้านที่กำลังหันมาปรับตัวเพื่อรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นได้แน่นอน !

Credit

Chayanit S.

เป็นคนกรุงเทพฯ ชอบเดินเที่ยวเมือง ฟังเพลงซ้ำ ๆ นั่งโง่ ๆ ดูคนคนใช้ชีวิต :-)