ถ้าเปรียบ สนธิสัญญาพลาสติกโลก เป็นซีรีส์ซักเรื่อง ผมว่ามันคือ Game of Thrones
เริ่มต้นมาอย่างดี แต่มาตกมังกรตายตอนจบ เหมือนกับการประชุมสนธิสัญญาพลาสติกโลก ที่เริ่มต้นด้วยเป้าหมายเดียวกันคือการหยุดวิกฤตพลาสติก แต่ทำไปทำมาดูจะล่มเอาอยู่เหมือนกันด้วยการเจรจาที่ไม่ลงตัวของสองขั้วความคิดเห็น
โชคดีก็คือ Game of Thrones จบไปแล้ว จะเรียกร้องให้ตายยังไง เขาก็ไม่ทำใหม่ แต่สนธิสัญญาพลาสติกโลกยังไม่จบ ตอนนี้ยังมีภาคต่อ และเรายังมีหวังว่าบทสรุปของตอนสุดท้ายนี้ จะไม่ใช่ข้อตกลงที่ไม่มีใครจำ แต่เป็น ข้อตกลงที่โลกจะไม่มีวันลืม มากกว่า
ภาคต่อที่ว่าตอนนี้กำลังออนแอร์อยู่
ตอนนี้สายตาจับต้องไปที่ห้องเจรจาที่เจนีวาประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีเดิมพันสำคัญว่าโลกจะเลือกระหว่าง จัดการพลาสติกทั้งวงจร หรือ เน้นรีไซเคิลแบบเดิมเพิ่มเติมคือทำให้มากขึ้น
โลกไม่ขาดพลาสติก แต่ขาดความกล้าที่จะหยุดผลิต
มีคำพูดที่ว่า “ตอนนี้โลกมีเสื้อผ้าเพียงพอให้ใส่กันได้อีก 6 เจน” ถ้าลองมาคิดในบริบทของพลาสติกบ้าง นี่คิดว่าคงได้อีกเป็น 10 ยุคคน ถ้าเอาพลาสติกทั่วโลกมาต่อกัน น่าจะวนได้รอบโลกได้ง่าย ๆ
ทะเลทั่วโลกอาจมีพลาสติกมากกว่าปลาในปี 2050 หากเรายังไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย นอกจากในมหาสมุทรแล้ว ในทุกมื้ออาหารของเราเองก็อาจมีไมโครพลาสติกปนเปื้อนอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัว นักวิทยาศาสตร์พบไมโครพลาสติกในอวัยวะมนุษย์และในสัตว์ทะเลที่เราบริโภคเข้าสู่ร่างกาย กล่าวได้ว่าพลาสติกได้ซึมลึกเข้ามาอยู่ในระบบนิเวศทุกระบบของโลก แม้แต่ในตัวเราเองก็ไม่อาจหนีพ้นภัยเงียบนี้ได้
การสะสมของขยะพลาสติกกลายเป็นวิกฤตใหญ่ของโลกมานานนับทศวรรษ เราได้ยินเรื่องราวปัญหาพลาสติกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งปริมาณการผลิตพลาสติกที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และอัตราการรีไซเคิลที่ต่ำเตี้ยจนท้อ (ปัจจุบันมีขยะพลาสติกทั่วโลกที่ถูกนำกลับมารีไซเคิลเพียงประมาณ 9% เท่านั้น) แม้หลายประเทศพยายามปรับปรุงการจัดการขยะและระบบรีไซเคิล แต่ตัวเลขก็ยังสวนทาง โรงงานทั่วโลกยังคงผลิตพลาสติกเพิ่มขึ้นไม่หยุด และขยะพลาสติกจำนวนมหาศาลก็หลุดรอดสู่สิ่งแวดล้อมในทุกวัน
ความหวังจากกฏหมายโลกฉบับแรกสำหรับพลาสติก
ท่ามกลางวิกฤตนี้ ในที่สุดก็มีแสงสว่างแห่งความหวังปรากฏขึ้นในชื่อ สนธิสัญญาพลาสติกโลก (Global Plastic Treaty) หลายคนยกให้มันเป็นเสมือนอัศวินขี่ม้าขาวที่จะมาช่วยกอบกู้โลกจากหายนะพลาสติก เพราะนี่จะเป็น ข้อตกลงระดับโลกฉบับแรกที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย สำหรับจัดการมลพิษพลาสติกอย่างจริงจัง พูดง่าย ๆ คือสนธิสัญญานี้จะกลายเป็น “กฎหมายของโลก” ในการควบคุมพลาสติก ตั้งแต่การผลิต การใช้ จนถึงการจัดการขยะหลังการใช้
เป้าหมายของสนธิสัญญาพลาสติกโลกไม่ใช่การห้ามใช้พลาสติกทุกชนิดทันที แต่คือการสร้างกลไกและหลักเกณฑ์ร่วมกันทั่วโลกเพื่อ “ควบคุม สร้างสมดุล และรับผิดชอบ” ต่อพลาสติกที่มนุษย์ผลิตขึ้นมาให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ปล่อยให้พลาสติกยังคงถูกผลิตออกมาเรื่อย ๆ โดยไร้ขอบเขตแล้วค่อยไปแก้ปัญหาที่ปลายทางแบบที่เคยเป็นมา สนธิสัญญานี้ได้รับฉันทามติเริ่มต้นจากผู้นำ 175 ประเทศ เมื่อมีนาคม 2022 ที่กรุงไนโรบี เคนยา ว่าจะร่วมกันร่างข้อตกลงขึ้นให้สำเร็จภายในสิ้นปี 2024 เพื่อหยุดวิกฤตมลพิษพลาสติกที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ
จากไนโรบีถึงปูซาน: การเจรจาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
การเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลกดำเนินมาแล้ว 5 รอบ (เรียกการประชุมแต่ละครั้งว่า INC-1 ถึง INC-5) แต่ตลอด 2-3 ปีที่พยายามร่างข้อตกลงยังคงไม่บรรลุผลเสียที รอบล่าสุดที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ เมื่อปลายพฤศจิกายน 2024 ซึ่งเดิมทีตั้งใจว่าจะเป็น การประชุมครั้งสุดท้าย กลับลงเอยด้วยความล้มเหลวไม่เป็นท่า ทุกประเทศยังตกลงกันไม่ได้ ทำให้ต้องมีรอบต่อไป (กลายเป็น INC-5.2) ในเดือนสิงหาคม 2025 ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์
สรุปสั้น ๆ ว่าทำไมที่ปูซานจบไม่สวย คือ ความเห็นที่ไม่ลงรอยกันในประเด็นหลักของสนธิสัญญา โดยแตกออกเป็นสองแนวทางใหญ่ ๆ คือ การแก้ปัญหาทั้งวงจรชีวิตของพลาสติก vs การแก้ปัญหาเฉพาะที่ปลายทาง
ฝ่ายที่สนับสนุนแนวทางแรก (นำโดยหลายประเทศในยุโรป แอฟริกา และอเมริกาใต้) ต้องการให้ข้อตกลงฉบับนี้ครอบคลุมมาตรการทุกขั้นตอนของวงจรพลาสติก เริ่มตั้งแต่ ต้นน้ำ คือการควบคุมหรือจำกัดการผลิตพลาสติกใหม่ ลดการใช้สารเคมีอันตรายเป็นส่วนผสม เปลี่ยนผ่านสู่วัสดุหรือระบบที่ใช้ซ้ำได้ ตลอดจนถึง ปลายน้ำ คือการจัดการของเสียพลาสติกหลังใช้งาน ให้ปลอดภัย ไม่สร้างมลพิษตกค้าง ฝ่ายนี้เชื่อว่าถ้าไม่จัดการที่ต้นเหตุและควบคุมวงจรทั้งหมด เราจะไม่มีวันแก้วิกฤตพลาสติกได้ เพราะมันคือแบบว่าจะผลิตก็ผลิตไปเถอะ เดี๋ยวค่อยไปแก้ตอนเป็นขยะ ซึ่งมันไม่ใช่วิธีการคิดที่ยั่งยืน อย่างที่ตัวเลขปัจจุบันยืนยันว่าการรีไซเคิลเพียงอย่างเดียวไม่ได้หยุดยั้งปริมาณขยะพลาสติกที่เพิ่มขึ้นเลย
ขณะที่ฝ่ายที่สอง (ซึ่งมีประเทศผู้ผลิตน้ำมันและพลาสติกจำนวนหนึ่งสนับสนุน) กลับไม่เห็นด้วยกับมาตรการจำกัดการผลิต พวกเขาเสนอให้เน้นไปที่การจัดการขยะที่ปลายทางเป็นหลัก เช่น การปรับปรุงระบบรีไซเคิลให้ดีขึ้น การกำจัดขยะอย่างมีประสิทธิภาพ และการนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ให้มากที่สุดแทน แนวคิดของฝ่ายนี้คือพยายามแก้ปัญหาที่ปลายเหตุก่อน โดยหลีกเลี่ยงการแตะเพดานการผลิตพลาสติกที่ต้นทาง เพราะเกรงว่าจะกระทบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมน้ำมันโลก
ในการประชุมที่ปูซานที่ผ่านมา สถานการณ์จึงออกมาในลักษณะที่ เสียงส่วนใหญ่ต้องแพ้ให้เสียงส่วนน้อย เนื่องจากระบบการตัดสินใจของสนธิสัญญานี้ต้องใช้ ฉันทามติ (Consensus) ทุกประเทศต้องเห็นพ้องต้องกันจึงจะผ่านได้ ไม่มีการลงมติแบบเสียงข้างมาก ส่งผลให้แม้จะมีประเทศกว่า 100 ประเทศที่สนับสนุนมาตรการทะเยอทะยานให้ลดการผลิตพลาสติกอย่างจริงจัง แต่ก็ถูกประเทศส่วนน้อยไม่กี่ประเทศ ขัดขวางจนหาข้อสรุปไม่ได้ ผลลัพธ์ที่ออกมาคือไม่มีการตกลงเรื่องเป้าหมายลดการผลิตพลาสติกหรือมาตรการเชิงโครงสร้างใหญ่ ๆ นอกไปจากความคืบหน้าบางประเด็นย่อยเท่านั้น เช่น มีการพูดถึงการควบคุมไมโครพลาสติกและเพิ่มความเข้มงวดในกฎหมาย Extended Producer Responsibility (EPR) ที่ให้ผู้ผลิตร่วมรับผิดชอบกับขยะพลาสติกมากขึ้น แต่เรื่องใหญ่ ๆ อย่างการ ปิดก๊อก การผลิตพลาสติกยังคงถูกพักไว้ก่อน
“ถูพื้นไปทั้งที่ยังเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ก็คงไม่มีประโยชน์” นักการทูตด้านสิ่งแวดล้อมของอียูคนหนึ่งเปรียบเปรยถึงสถานการณ์นี้ เพื่อย้ำว่าหากไม่ปิดก๊อก การผลิตพลาสติกเสียตั้งแต่ต้น ก็ไม่อาจแก้ปัญหาได้ด้วยการตามไปเก็บกวาดที่ปลายทางเท่านั้น แนวคิดนี้สะท้อนมุมมองของกลุ่มประเทศและนักวิชาการที่สนับสนุนให้สนธิสัญญาคุมเข้มทั้งวงจรชีวิตพลาสติก นั่นคือจะมุ่งแก้แค่มลพิษปลายน้ำไม่ได้ แต่ต้องแก้ที่ต้นน้ำควบคู่กันไป
จะล้มเหลวหรือไปต่อ: ทีท่าและท่าทีของแต่ละประเทศ
หากแบ่งเป็นสองทีมดังกล่าว ทีมที่ 1: จัดการทั้งวงจรชีวิต (สายแข็ง) และ ทีมที่ 2: จัดการปลายทาง (สายผ่อนปรน) เราพอจะจัดกลุ่มคร่าว ๆ ได้ดังนี้:
ทีมจัดการทั้งวงจรชีวิต (High Ambition Coalition)
กลุ่มนี้ประกอบด้วยประเทศที่มีความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมสูง อาทิ สหภาพยุโรป รวันดา เปรู นอร์เวย์ แคนาดา ออสเตรเลีย รวมถึงอีกหลายประเทศจากทุกทวีป รวมตัวกันในนาม “พันธมิตรความทะเยอทะยานสูง” เป้าหมายของพวกเขาคือผลักดันให้สนธิสัญญานี้มีมาตรการแรงและครอบคลุมเพียงพอที่จะ ยุติมลพิษพลาสติกให้ได้ภายในปี 2040 ตามที่วิทยาศาสตร์ระบุว่าจำเป็นต้องทำ พวกเขายืนยันหนักแน่นว่าข้อตกลงต้องกำหนดการลดการผลิตพลาสติกใหม่แบบมีพันธะผูกพันทางกฎหมาย ยกเลิกการใช้พลาสติกและสารเคมีที่เป็นปัญหา และเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (ใช้ซ้ำ-รีไซเคิล) อย่างจริงจัง สหรัฐอเมริกา ภายใต้รัฐบาลโจ ไบเดนก็เคยแสดงท่าทีเข้าร่วมกลุ่มนี้เช่นกัน สนับสนุนแนวคิดการจำกัดการผลิตพลาสติกในเวทีเจรจาช่วงปี 2023-2024 แต่… เมื่อการเมืองภายในเปลี่ยนผ่านกลับสู่ยุค “America First” ของโดนัลด์ ทรัมป์ในปี 2025 หลายฝ่ายก็กังวลว่าสหรัฐฯ อาจถอนคำมั่นและหันไปอยู่ฝั่งตรงข้าม เนื่องจากในสมัยทรัมป์ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ คัดค้านข้อตกลงพหุภาคีต่าง ๆ และไม่ยอมผูกมัดตนเองในการชะลอหรือหยุดยั้งอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลและปิโตรเคมีอยู่แล้ว ท่าทีของสหรัฐฯ ในเวทีเจรจาจึงกลายเป็นเครื่องหมายคำถามที่ทั่วโลกจับตามองว่าพวกเขาจะเลือกอยู่ฝั่งใดกันแน่
ทีมจัดการปลายทาง (Low Ambition Bloc)
ฝ่ายนี้มีแกนนำหลักคือบรรดาประเทศผู้ผลิตน้ำมันและเคมีภัณฑ์รายใหญ่ อาทิ ซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย อิหร่าน ซึ่งแสดงจุดยืนคัดค้านการจำกัดการผลิตพลาสติกอย่างแข็งขันตั้งแต่เริ่มต้น พวกเขาให้เหตุผลว่ามาตรการเช่นนั้นจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกและอุตสาหกรรมของตน จึงเสนอให้มุ่งที่การปรับปรุงการจัดการขยะและรีไซเคิลแทน โดยกลุ่มประเทศเหล่านี้ (บางครั้งเรียกกันว่า Like-Minded Group) ได้ร่วมกันต่อต้านข้อเสนอการลดการผลิตพลาสติกตลอดการเจรจา และมีส่วนทำให้เนื้อหาสนธิสัญญาฉบับร่างที่ปูซานถูกทำให้อ่อนลงกว่าที่หลายฝ่ายคาดหวัง จีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตพลาสติกอันดับต้น ๆ ของโลกก็สนับสนุนหลักการให้มีการจัดการขยะที่ดีขึ้นและความร่วมมือระหว่างประเทศที่เข้มแข็งขึ้นเช่นกัน แต่จีนแสดงท่าทีระมัดระวังเรื่องการผูกมัดเพดานการผลิตพลาสติก โดยต้องการให้สนธิสัญญามีความยืดหยุ่นสำหรับประเทศกำลังพัฒนาในการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไป ขณะที่ อินเดีย ซึ่งในประเทศมีการแบนพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งหลายชนิดไปแล้ว ก็ยังไม่เห็นด้วยกับการตั้งข้อจำกัดการผลิตระดับโลกอย่างเข้มงวด โดยกังวลว่าจะขัดขวางการพัฒนาประเทศในระยะยาว เช่นเดียวกับอีกหลายชาติในกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันที่ต่อต้านกฎระเบียบสิ่งแวดล้อมเข้มงวดมาตลอด เพราะมองว่าจะกระทบอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของตนโดยตรง
กล่าวโดยสรุป ภาพรวมของสมรภูมิการเจรจาคือฝ่ายที่ต้องการ “ตัดตอนมลพิษที่ต้นเหตุ” ปะทะกับฝ่ายที่ต้องการ “จัดการมลพิษที่ปลายเหตุ” ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่ยอมถอยง่าย ๆ อย่างไรก็ดี มีสัญญาณที่ดีอยู่บ้างเมื่อเดือนมิถุนายน 2025 ที่การประชุมมหาสมุทรของสหประชาชาติ (UN Ocean Conference) ณ เมืองนีซ ฝรั่งเศส มีรัฐมนตรีและผู้แทนกว่า 95 ประเทศร่วมกันออกแถลงการณ์เรียกร้องให้สนธิสัญญาพลาสติกโลกมี 5 องค์ประกอบสำคัญครบถ้วน ได้แก่ การจัดการพลาสติกทั้งวงจรชีวิต (รวมถึงการผลิต), การเลิกใช้สารเคมีอันตรายและพลาสติกปัญหาบางประเภท, การปรับปรุงการออกแบบผลิตภัณฑ์, กลไกสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา, และกลไกให้สนธิสัญญาสามารถยกระดับได้ในอนาคต พร้อมตอกย้ำว่าหากข้อตกลงอ่อนข้อเกินไป พึ่งพาแต่ความสมัครใจ หรือโฟกัสเพียงการจัดการขยะโดยไม่แตะวงจรทั้งหมด ก็ไม่มีทางจะแก้ปัญหามลพิษพลาสติกได้จริง
เสียงจากฝ่ายนโยบายระดับสูงก็สอดประสานไปในทางเดียวกัน ตัวอย่างเช่น อักแนส ปานิเยร์-รูนาเชร์ รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของฝรั่งเศส กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “การจัดการขยะและรีไซเคิลให้ดีขึ้นอย่างเดียวจะไม่ช่วยแก้ปัญหา นั่นเป็นเรื่องโกหก” พร้อมย้ำว่าต้องมีมาตรการครอบคลุมวงจรชีวิตทั้งหมดของพลาสติกอยู่ในสนธิสัญญาด้วย คำพูดแรง ๆ เช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบทั้งวงจรไม่ได้ลดละความพยายามเลยในการผลักดันให้เกิดข้อตกลงที่ “แรงพอ”
จุดยืนของไทยอยู่ตรงไหน
สำหรับประเทศไทยเรา แม้ไม่ได้อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งอย่างชัดเจนเท่าชาติมหาอำนาจ แต่ก็หลีกเลี่ยงผลกระทบจากวิกฤตพลาสติกไม่ได้เช่นกัน ที่ผ่านมาประเทศไทยรับบทเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้นำเข้าขยะพลาสติกจากต่างประเทศ โดยเคยเป็นปลายทางใหญ่แห่งหนึ่งของขยะพลาสติกโลกหลังจีนสั่งห้ามนำเข้าขยะพลาสติกในปี 2018 โชคดีที่เสียงเรียกร้องจากประชาสังคมผลักดันให้รัฐบาลไทยประกาศแบนการนำเข้าขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2025 เป็นต้นไป ถือเป็นก้าวสำคัญในระดับประเทศที่ช่วยลดภาระมลพิษและความเสี่ยงต่อสุขภาพของคนไทยได้ระดับหนึ่ง
ทว่าในเวทีระหว่างประเทศ จุดยืนของรัฐบาลไทยต่อสนธิสัญญาพลาสติกโลกยังค่อนข้างไม่ชัดเจนเมื่อเทียบกับหลายประเทศ แน่นอนว่าเราสนับสนุนหลักการแก้ปัญหาขยะพลาสติกและได้ร่วมการเจรจามาตั้งแต่ต้น แต่หากถามว่าไทยอยู่ “ทีม” ไหน ระหว่างทีมทะเยอทะยานสูงที่เอาจริงเอาจังตัดไฟตั้งแต่ต้นลม หรือทีมเบรคไม่อยากให้ข้อตกลงเข้มงวดเกินไป – หลายฝ่ายมองว่าไทยอาจกำลังเลือก “เล่นเกมรอดูท่าที” มากกว่า กล่าวคือยังไม่ได้ประกาศหนุนแนวทางลดการผลิตหรือมาตรการเข้มข้นเต็มปากเต็มคำ อาจเพราะเกรงผลกระทบทางเศรษฐกิจและต้องการดูฉันทามติของมหาอำนาจโลกก่อนอย่างไรก็ดี ในภาคประชาสังคมไทย มีการจับตาและผลักดันเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด กลุ่มองค์กรสิ่งแวดล้อมไม่แสวงกำไร เช่น กรีนพีซ ประเทศไทย, มูลนิธิบูรณะนิเวศ และ มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (EJF) ต่างสนับสนุนให้ไทยยืนอยู่ฝั่งเดียวกับกลุ่มประเทศที่ผลักดันการแก้ปัญหาทั้งวงจร พวกเขาออกมาเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยว่าเราควรมีบทบาทเชิงรุก อยู่ข้างที่จะสร้าง ข้อตกลงประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ฝั่งที่สนับสนุนข้อตกลงแบบอ่อน ๆ ซึ่งเอาเข้าจริงไม่ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย การปล่อยให้ทุกอย่างเป็นแค่ “ความร่วมมือโดยสมัครใจ” พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล เพราะแต่ละคนก็ทำของใครของมัน ขาดทิศทางร่วมกันอย่างเป็นระบบ ดังนั้นสิ่งที่ไทยและโลกต้องการคือกติการะดับโลกที่จะเป็นรากฐานให้ทุกประเทศมุ่งหน้าสู่การแก้ปัญหาวิกฤตนี้ไปในทางเดียวกันอย่างจริงจัง
ความหวังคือสิ่งสุดท้ายที่เราจะสูญเสีย
ระหว่างที่โลกยังคงถกเถียงกันไม่จบ พลาสติกก็ยังเพิ่มขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะสถิติด้านใดก็ล้วนชวนให้หดหู่ – การผลิตพลาสติกโลกคาดว่าจะ เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวภายในปี 2040 หากไร้มาตรการ介 และ จะเพิ่มขึ้นสามเท่าในปี 2060 ในขณะที่สิ่งแวดล้อมและสุขภาพมนุษย์ต้องแบกรับผลกระทบหนักขึ้นเรื่อย ๆ งานวิจัยใหม่ ๆ ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ร้ายแรงจากไมโครพลาสติก ทั้งเพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือด สมองและหัวใจ ตลอดจนปัญหาทางสมองอย่างสมองเสื่อมก็อาจเกี่ยวโยงกับไมโครพลาสติกด้วย วิกฤตพลาสติกจึงไม่ใช่แค่เรื่องขยะล้นโลกหรือสัตว์ทะเลตายอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นวิกฤตสุขภาพของมนุษย์อย่างชัดเจน
แม้การเจรจาที่ผ่านมาจะดูน่าผิดหวัง แต่มวลมนุษยชาติคงไม่อาจยอมแพ้กับเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ ดังคำกล่าวที่ว่า “ความหวังคือสิ่งสุดท้ายที่เราจะสูญเสีย” ตราบใดที่เรายังไม่ดับไฟแห่งความหวังลงเสียก่อน ความเป็นไปได้ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงก็ยังคงอยู่เสมอ ในวันที่ 5-14 สิงหาคม 2025 นี้ ผู้นำและผู้แทนกว่า 170 ประเทศจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งที่เจนีวาในการประชุม INC-5.2 เพื่อหาข้อยุติของสนธิสัญญาพลาสติกโลกให้ได้ ผมอยากเชิญชวนทุกคนติดตามเหตุการณ์นี้อย่างใกล้ชิด เพราะไม่แน่ว่านี่อาจเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่ทั่วโลกรอคอย – ช่วงเวลาที่เราจะได้เห็นข้อตกลงระดับโลกที่จะ “ปิดก๊อก” วิกฤตพลาสติกอย่างแท้จริง และพาโลกของเราเดินหน้าไปสู่อีกอนาคตหนึ่งที่ยั่งยืนกว่าเดิม
ท้ายที่สุด ไม่ว่าผลการเจรจาที่เจนีวาครั้งนี้จะออกมาอย่างไร สิ่งสำคัญคือเสียงของประชาชนทั่วโลกที่ส่งสัญญาณชัดเจนว่าต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ เราไม่ต้องการข้อตกลงที่สวยหรูแต่ไร้น้ำยา หากแต่ต้องการมาตรการที่หนักแน่นพอจะพลิกวิกฤตพลาสติกได้จริง ความหวังของผมคือผู้นำของเราจะเลือกยืนอยู่ข้างความเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์นี้ และไม่ยอมให้สนธิสัญญาพลาสติกโลกกลายเป็นเพียงกระดาษเปล่าที่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้เลยในท้ายที่สุด
References:
1. https://www.switch-asia.eu/site/assets/files/4061/positions_plastics_treaty_world-1.pdf
2. https://news.un.org/en/story/2025/06/1164301
3. https://earth.org/key-players-and-positions-in-the-global-plastic-treaty-negotiations/
5. https://seabinfoundation.org/global-plastic-treaty-key-outcomes-from-the-latest-negotiations/6. https://www.reuters.com/business/environment/countries-remain-divided-fifth-un-plastics-treaty-talks-begin-2024-11-24/