สนธิสัญญาพลาสติกโลก: สนธิสัญญาที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง หรือเปลี่ยนอะไรไม่ได้สักอย่าง ?

พลาสติกกำลังกลืนกินโลกจากท้องทะเลสู่จานอาหาร จากลมหายใจสู่สายเลือด โลกก็เริ่มหันกลับมาตั้งคำถามกับมันอย่างจริงจังเสียที แต่แทนที่จะได้เห็นความสามัคคี โลกกลับแตกออกเป็นสองฝั่ง เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องขยะ แต่มันคือเกมการเมืองระหว่างโลกเก่าและโลกใหม่ และเดิมพันของมันคืออนาคตของเรา

ทะเลจะมีพลาสติกมากกว่าปลาภายในปี 2050
ทุกมื้ออาหารจะมีไมโครพลาสติกเป็นวัตถุดิบแฝงอยู่ให้เราได้กิน

พลาสติกได้ซ่อนตัวแทรกซึมเข้าสู่ระบบนิเวศแทบทุกระบบบนโลกนี้ไปแล้ว แม้แต่ในร่างกายก็ฟื้นไม่มีหนีไม่พ้น มันแฝงตัวอยู่ในโลเคชั่นต่าง ๆ ในรูปแบบของ ไมโครพลาสติก ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์นักวิจัยทั้งหลายยังคงหัวหมุนกันอยู่ ในการหาคำตอบชัด ๆ ว่า พลาสติกขนาดเล็กที่เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า จะส่งผลกระทบอะไรบ้างต่อสุขภาพของคนและสิ่งแวดล้อม

ปัญหาขยะพลาสติกเป็นปัญหาโลกแตกที่เขียนเกริ่นนำเล่าเรื่องเดิม ๆ มาเป็นเวลากว่า 10-20 ปี ถึงแม้จะเป็นสถิติใหม่ แต่ก็ยังเป็นเส้นเรื่องเดิม คือการพูดถึงปัญหาและผลกระทบ น้อยครั้งที่เราจะได้เห็นสัญญาณแห่งความหวังที่จะพาโลกไปสู่ทางออก ทั่วโลกต่างเห็นว่าขยะจะล้นโลก แต่ข้อสรุปหรือข้อตกลงในการจัดการเรื่องนี้ก็ยังไม่ผุดออกมาเป็นรูปธรรม

แต่แล้ว สนธิสัญญาพลาสติกโลก หรือ Global Plastic Treaty ก็เกิดขึ้น เป็นดั่งอัศวินขี่ม้าขาวที่จะมาฟาดฟันให้โลกเจอกับทางออกที่ยืนยาวยั่งยืน สนธิสัญญาพลาสติกโลกจะเป็นกลไกที่ทำให้ประเทศทั่วโลกมี ข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมายฉบับแรก พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นกฎหมายของโลกที่จะเข้ามาจัดการกับมลภาวะพลาสติก

นี่อาจเป็นสิ่งที่ทั่วโลกตามหา คือการแก้ไขอย่างเป็นระบบกติกา การปรับเปลี่ยนในเชิงโครงสร้าง ฉุกให้ผู้นำทั่วโลกคิดใหม่เกี่ยวกับการผลิต การใช้ และการจัดการพลาสติก ซึ่งจุดประสงค์คือไม่ได้เพื่อจะกำจัดพลาสติกออกไปจากโลกนี้ แต่เพื่อให้เกิดการควบคุม สร้างสมดุล และการรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราสร้างขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

สนธิสัญญาโลกเปิดโต๊ะเจรจาครั้งแรกไปเมื่อเดือนมีนาคม 2022 โดยประเดิมกันที่กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา เป็นการเริ่มต้นครั้งประวัติศาสตร์ที่อาจเปลี่ยนแปลงความคิดเกี่ยวกับการใช้พลาสติกไปตลอดกาล ตัดภาพต่อมาอย่างรวดเร็วอีก 2 ปีให้หลัง เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024 ผู้นำกว่า 175 ประเทศมารวมตัวกันอีกครั้งที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ คาดว่าจะได้ข้อสรุปข้อตกลงเสียที แต่ผลลัพธ์ออกมาไม่เป็นไปตามความคาดหวัง สื่อต่าง ๆ ทั้งไทยและต่างประเทศพาดหัวถึงการประชุมครั้งนี้เป็นเสียงเดียวกันว่า ล้มเหลวไม่เป็นท่า

ว่าแต่ ทำไมถึงออกมาเป็นแบบนี้ ?

จากไนโรบีถึงปูซาน : สนธิสัญญาเริ่มเป็นรูปแต่ยังไม่เป็นร่าง

ความพยายามเจรจากว่า 2-3 ปี ยังคงหาข้อสรุปที่พึงพอใจไม่ได้ การประชุมเจรจาครั้งล่าสุดนับเป็นครั้งที่ 5 หรือเรียกกันเป็นตัวย่อว่า INC-5 ความตั้งใจแรกคือทั่วโลกคอมมิทกันว่าจะคุยบทสรุปให้ได้ภายในปี 2024 นั่นแหละ ก็คือเขาตั้งใจกันว่าการประชุมที่ปูซานจะเป็นรอบสุดท้าย จะเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ที่คลอดสนธิสัญญาแห่งประวัติศาสตร์ แต่กลับติดขัดเนื่องจากยังมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในบางส่วนของเนื้อหา โดยผมแบ่งให้เล่าง่าย ๆ เป็น 2 ฝั่งแล้วกัน 

ฝั่งที่ 1 คือทีมที่ต้องการเห็นการจัดการพลาสติกทั้งวงจร ตั้งแต่การจำกัดการผลิต การเลิกใช้สารเคมีอันตรายมาเป็นส่วนผสม ไปจนการใช้งาน จนสุดท้ายคือการจัดการต่อหลังชีวิตของพลาสติกสิ้นสุดลง ก็คือทีมที่ต้องการให้เรามีกฎหมายที่ครอบคลุมทั้งลูปเลย ไม่ใช่แค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง ส่วนทีมที่ 2 ก็คือทีมที่เน้นไปที่การจัดการปลายทางแทน โฟกัสไปที่การระบบรีไซเคิล การรับผิดชอบเมื่อพลาสติกถึงอายุขัยของการทิ้ง

ถ้าให้ลองเดา ทุกคนจะพอทายได้ไหมว่าประเทศอะไรอยู่ในทีมไหน

แน่นอนว่าผมสนับสนุนทีมที่ 1 คือการเปลี่ยนแปลงทั้งวงจร ผมเชื่อว่าเราต้องการการรื้อถอนระบบเก่า เซ็ตกติกากันใหม่ เราต้องคิดกันใหม่ทั้งหมด เพราะหากโลกไปเน้นแค่ปลายทางคิดง่าย ๆ ก็คือหมายความว่าจะผลิตออกมาเท่าไหร่ก็ได้ แล้วค่อยไปตายเอาดาบหน้า ทำ ๆ ไปก่อนค่อยจัดการอีกที ทำนองนั้น ซึ่งว่ากันตามตรงตอนนี้หลาย ๆ ประเทศก็โฟกัสไปในแนวทางนี้อยู่ คือพยายาม Waste Management ให้ดี สร้างระบบรีไซเคิลที่แข็งแรง แต่ตัวเลขสถิติที่สะท้อนออกมาไม่มีแนวโน้วจะดีขึ้นเลย โลกยังมีการผลิตพลาสติกเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ โดยจะดับเบิ้ลไปอีกในปี 2050 ตามคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ ในขณะที่เรทการรีไซเคิลก็กลับลดลง ๆ สวนทางสิ่งที่ควรจะเป็น

ดังนั้นไม่พอหรอกครับที่จะเอาแค่กฎหมายที่มาควบคุมกำกับการจัดการที่ปลายทาง 

นี่คือสิ่งที่ยังทำให้สนธิสัญญาพลาสติกโลกยังไม่คลอด ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ INC-5 ควรจะเป็นการประชุมครั้งสุดท้าย ก็กลายเป็น INC-5.1 ต้องเติม .1 เข้าไป เพราะยังไม่จบ ยังมีภาคต่อที่ INC-5.2 ซึ่งกำลังจะมีการประชุมในเดือนสิงหาคมนี้ ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

จะล้มเหลวหรือไปต่อ : ทีท่าและท่าทีของแต่ละประเทศ

จากรอบล่าสุดที่ปูซาน พวกเขาตกลงกันเรื่องการห้ามเม็ดพลาสติกขนาดเล็กและกฎหมาย EPR ที่เข้มงวดยิ่งขึ้น แต่กลับล้มเหลวในมาตรการด้านอุปทาน ประเทศต่างๆ มากกว่า 100 ประเทศผลักดันให้มีการจำกัดการผลิตแบบบังคับ ในขณะที่ผู้ผลิตน้ำมันและพลาสติกรายใหญ่กดดันให้มีการเน้นที่การจัดการขยะให้แคบลง เรามาดูกันคร่าว ๆ ว่า แต่ละประเทศรวมถึงไทยเองมีท่าทีอย่างไร 

อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้าว่าหลัก ๆ จะแบ่งเป็นสองทีม อย่าง สหภาพยุโรป รวันดา เปรู นอร์เวย์ แคนาดาและออสเตรเลีย ที่เป็นส่วนหนึ้งของรวมตัวกันโดยใช้ชื่อว่า High Ambition Coalition หรือแปลตรง ๆ พันธมิตรที่มีความทะเยอทะยานสูง จะจัดอยู่ในทีม 1 ซึ่งผลักดันให้เกิดการแก้ไขทั้งระบบทั้งวงจรชีวิต จำกัดการผลิต เลิกใช้พลาสติกที่เป็นปัญหา และ เปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบใช้ซ้ำ ทีมนี้ยืนกรานว่า หากไม่ตัดวงจร ไม่คุมกำเนิดพลาสติก วิกฤตมลพิษของมันจะยิ่งแย่ลงไปเรื่อย ๆ ทีมนี้มีเป้าหมายผลักดันสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่จะยุติมลภาวะพลาสติกให้ได้ภายในปี 2040

สหรัฐอเมริกา ก็เข้าร่วมอยู่ในพันธมิตรนี้ด้วย พวกเขาก็สนับสนุนให้ลดการผลิต แต่ … ส่วนมากคอมมิทเมนต์พวกนี้เกิดขึ้นในยุคของไบเดน เมื่อตอนนี้การเมืองเปลี่ยนไปกลายเป็นยุค America First ของทรัมป์ ท่าทีก็เลยดูคลุมเครือ ซึ่งก็เป็นที่กังวลของประเทศในพันธมิตรว่าอเมริกาจะเอายังไง จะยังอยู่ฝั่งเดียวกันไหม หรือจะถอนตัวออกไป ขุดแล้ว ขุดอีก ขุดต่อ ที่บ่อน้ำมัน

ในอีกฝั่งหนึ่งซึ่งส่วนมากจะเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมัน เช่น ซาอุดิอาระเบีย รัสเซีย และอิหร่าน พวกเขาคัดค้านการจำกัดการผลิตพลาสติกด้วยแพชชั่นแรงกล้า เขาเตือนว่า เฮ้ย ถ้าทำแบบนี้จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของโลกนะ ซึ่งพวกเขาเน้นไปสนับสนุนการจัดการขยะที่ดีขึ้น พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้รีไซเคิลได้ประสิทธิภาพและปริมาณ และสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 

ส่วนประเทศมหาอำนาจอีกประเทศอย่าง จีน พวกเขาสนับสนุนการจัดการขยะที่ดีขึ้นเช่นเดียวกัน และเรียกร้องให้มีเกิดความร่วมมือระหว่างประเทศที่เข้มแข็งขึ้นในเรื่องจัดการขยะ แต่ยังคงมีท่าทีระมัดระวังในการคอมมิทที่จะจำกัดการผลิต โดยอ้างว่าอยากให้ยังคงเหลือความยืดหยุ่นเอาไว้ ไม่ต้องผูกมัดกันจนเกินไป อินเดีย เองก็คล้ายกัน คือสนับสนุนการแบนพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง แต่ยังไม่เห็นด้วยกับการจำกัดการผลิตที่เข้มงวด โดยอ้างว่าอาจขัดขวางการพัฒนาของประเทศในระยะยาว

ว่ากันตามตรง ประเทศผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซจำนวนมากต่อต้านกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎระเบียบที่อาจจำกัดการผลิตพลาสติก ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งจุดนี้ก็เป็นจุดที่น่าสนใจที่เชื่อมโยงกับประเทศไทยเหมือนกัน แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่ แต่สินค้าน้ำมันดิบก็เป็นสินค้าที่สร้างรายได้อันดับต้น ๆ ให้กับประเทศ ทั้งนี้เราเองก็เพิ่งมีประกาศแบนการนำเข้าพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปเมื่อต้นปีนี้ 

แต่ถ้าต้องเลือกสักทีม ทีมทั้งวงจร หรือทีมปลายทาง ดูเหมือนจุดยืนของเราจะอยู่ทีมที่สาม คือทีมคนไทยยังไงก็ได้ รอดูกันว่าประเทศพรี่ ๆ จะเอายังไงกัน ในขณะที่องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอย่างกรีนพีซ ประเทศไทย มูลนิธิบูรณะนิเวศ​มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม ที่เกาะติดสถานการณ์ในแต่ละรอบการเจรจา เห็นด้วยกับทีมที่สนับสนุนให้เกิดการจัดการทั้งวงจร และออกมาเรียกร้องให้เรายึดมั่นใจหลักการและจุดยืนนี้บนเวทีโลก 

เราต้องอยู่ฝั่งที่จะสร้างข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ฝั่งสนับสนุนข้อตกลงที่อ่อนแอ สนธิสัญญานี้ต้องเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ประเทศเราอยู่กันด้วยระบบขอความร่วมมือ หรือ Voluntary มามากพอแล้ว และเราก็เห็นว่ามันไม่เวิร์ค ต่างคนต่างทำ ทุกคนไม่ไปในทิศทางเดียวกัน สิ่งที่เราต้องการคือสิ่งที่จะเป็นรากฐานให้เรามุ่งหน้าไปได้อย่างยั่งยืน


ระหว่างที่โลกยังคงคุยกัน พลาสติกก็เพิ่มขึ้นทุกวัน จริง ๆ ผมอยากจะรวบรวมสถิติต่าง ๆ เกี่ยวกับพลาสติกมาให้ทุกคนได้อ่าน แต่ไม่ไหว สถิติและตัวเลขเยอะเหลือเกิน อาจจะมีตรงกันและไม่ตรงกันบ้าง แต่ส่วนมากคือไปในทิศทางที่สื่อให้เห็นถึงความชิบหายเหมือน ๆ กัน ไม่มีตัวเลขไหนเลยที่ดูดี ทั้งในแง่ของการผลิต การใช้ การรีไซเคิล ทั้งหมดคือล้วนแล้วนำไปสู่ความหดหู่ทั้งสิ้น 

แต่การต่อสู้ในทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นมิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม หรือที่ดูเข้มข้นขึ้นในประเทศไทย ก็คือมิติการเมือง ต้องจำและยึดมั่นไว้ว่า ความหวังคือสิ่งสุดท้ายที่เราจะสูญเสีย ตราบใดที่ไฟแห่งความหวังของเรายังไม่ดับลง ความเป็นไปได้ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงก็จะยังคงอยู่ 

รอบการเจรจาครั้งต่อไปวันที่ 5-14 สิงหาคม ชวนทุกคนมาจับตา มาร่วมลุ้นไปด้วยกัน ส่วนตัวผมคิดว่าอยากให้โลกได้ข้อสรุปและทางออกเพื่อจะได้ปฏิบัติ แม้ดูทรงแล้วมีความเป็นไปได้ว่าจะยืดเยื้อเกินไปอีก แต่ลึก ๆ ก็ยังหวังว่ามันจะสิ้นสุดลง และคาดหวังว่าผู้นำของเราจะเลือกสนับสนุนสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ไม่ใช่เวอร์ชั่นที่จะเปลี่ยนอะไรไม่ได้สักอย่าง และทำให้ปัญหามลพิษพลาสติกไม่มีวันแก้ไขได้ในที่สุด


References: 

1. https://www.switch-asia.eu/site/assets/files/4061/positions_plastics_treaty_world-1.pdf

2. https://news.un.org/en/story/2025/06/1164301

3. https://earth.org/key-players-and-positions-in-the-global-plastic-treaty-negotiations/

4. https://www.euronews.com/green/2025/06/11/nearly-100-countries-call-for-ambitious-global-treaty-to-end-plastic-pollution-at-un-ocean

5. https://seabinfoundation.org/global-plastic-treaty-key-outcomes-from-the-latest-negotiations/6. https://www.reuters.com/business/environment/countries-remain-divided-fifth-un-plastics-treaty-talks-begin-2024-11-24/

Credit

eci

one of the human behind environman