หยิบกุญแจรถ สตาร์ทเครื่อง และออกเดินทาง
ลองหลับตาจินตนาการว่าคุณกำลังขับรถออกจากกรุงเทพฯ เมืองที่ไม่เคยหลับใหล ในระหว่างนั้นเสียงรถค่อยๆ เลือนหาย ความรู้สึกที่ถูกห้อมล้อมด้วยคอนกรีตค่อยๆ จางหายไปจากกระจกรอบตัว และเพียงแค่สองชั่วโมงเท่านั้นอากาศก็เปลี่ยนแปลงไป รู้ตัวอีกทีก็มาโผล่ที่โพธาราม จ.ราชบุรี เมืองที่จังหวะชีวิตเริ่มช้าลง นิ่ง สงบ และไม่เร่งรีบเกินความจำเป็น
ในเมืองนี้มีพื้นที่อีโคแห่งหนึ่งชื่อว่า friends & forest ตั้งอยู่ไม่ไกลจุดชมค้างคาว สถานที่ท่องเที่ยวของโพธาราม พื้นที่นี้ไม่ได้เป็นแค่หนึ่งหมุดธรรมดาใน Google Map แต่เป็นสถานที่ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้ และกลิ่นอายของธรรมชาติ เป็นพื้นที่เชิงนิเวศที่ครอบคลุมถึง 28 ไร่ และเป็นที่อยู่อาศัยของต้นไม้กว่า 100 สายพันธุ์
friends & forest เคยตั้งเป็นดั่งศูนย์กลางของการ Reconnect with the Disconnected หรือการนำพาให้คนได้มาเชื่อมโยงกับธรรมชาติ และ เพื่อนมนุษย์อีกครั้ง ไม่ว่าจะเพื่อหลีกหนีจากความวุ่นวายในเมือง จะหาความสงบเพื่อฮีลใจ หรือพักผ่อนให้ร่างกายได้รีชาร์จก็ตาม สถานที่นี้เต็มไปด้วยเรื่องราวของผู้คนที่สัญจรกันเข้ามา และวันนี้ พี่ป๊อบ ที่เป็นเจ้าของ ก็ได้เปิดพื้นที่นี้ให้เช่าใช้งานแล้ว เป็นการส่งดินสอต่อให้คนอื่นได้เข้ามาเขียนเรื่องราวใหม่ ๆ ให้กับ eco space แห่งนี้
เอาเข้าจริงๆ การใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ก็ดูเหมือนจะไม่ตอบโจทย์ใครหลายคน ถ้าให้เลือกได้เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยไม่อยากอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เพียงแค่สถานการณ์มันบังคับ ไม่ว่าจะด้วยงาน หรือโอกาสต่างๆ แต่เราอยู่ในปี 2024 แล้ว ความเจริญเริ่มกระจายตัวออกไป ดังนั้นอนาคตที่ทุกอย่างจะไม่ได้กระจุกอยู่ในกรุงเทพฯ อาจมาเร็วกว่าที่คิด ยิ่งตอนนี้ได้ยินกันอย่างหนาหูว่า ‘กรุงเทพจะน้ำท่วม’ ‘กรุงเทพจะจมน้ำในอีก 5-10 ปี’ แล้วเราจะเอาชีวิตไปแขวนไว้บนความเสี่ยงนั้นเพื่ออะไร ปีนี้เรายังไม่ชัวร์เลยว่าน้ำจะมาถึงหรือเปล่าด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นในวันที่สิ่งแวดล้อมมีความไม่แน่นอนแบบนี้ ในวันที่ผลกระทบจาก Climate Change ถาโถมเข้ามาเรื่อย ๆ การมี space ที่เป็นเหมือนดั่งโอเอซิสให้เรารอดปลอดภัย ก็เหมือนกับการห่มผ้าในคืนที่อากาศหนาว แม้ข้างนอกจะเย็นเพียงใด แต่คุณจะรู้สึกอบอุ่มและปลอดภัยภายใต้ผ้าห่มนั้น
friends & forest ติ๊กเดอะบอกซ์หลายข้อ ทั้งไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เดินทางสะดวก ไม่ไกลจากแหล่งชุมชน สถานที่ท้องเที่ยว มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี มีต้นไม้ให้มองอย่างสบายตา และมีอาคารบ้านดิน สไตล์modernที่ทำจาก eco-brick เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แถมยังมีน้ำให้ใช้ตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องกังวล ที่สำคัญที่สุด ดูจาก flood map อีก 100 ปีข้างหน้า น้ำก็ยังไม่ท่วม
ไม่หลบหนี เพราะมีที่หลบภัย
หลายๆ คนคงได้เห็นภาพน้ำท่วมภาคเหนือในปีนี้ ได้เข้าใจมากขึ้นแล้วว่าโลกนี้ไม่แน่นอน นักวิทยาศาสตร์พูดกันมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว แต่มวลมนุษยชาติจำนวนมากไม่เชื่อ และบัดนี้เรากำลังได้ลิ้มรสความโกลาหลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะบอกว่าทำตัวให้ชินก็คงจะไม่ได้ แต่ก็เตรียมไว้เลยว่าเราจะมีสถิติใหม่ๆ ทุกปี หากเรายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงกันอย่างจริงจัง ส่วนตัวของผู้เขียนเอง เราคิดว่ามันเกินกว่าที่จะใช้ประโยค ‘เริ่มต้นที่ตัวเรา’ มันได้ผ่านช่วงเวลานั้นไปแล้ว การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในตอนนี้คือต้องอาศัยโครงสร้าง นโยบาย และกฏหมายเท่านั้น ซึ่งไม่รู้ว่านั่นทำให้เรายิ่งมีหวังหรือหมดหวังกันแน่
แต่ก็เอาล่ะ ท่องเอาไว้ว่า ‘hope is the last thing you lose’ แล้วก้มหน้าก้มตาสู้กันต่อไป
ย้อนมาพูดถึงอนาคตของกรุงเทพฯ เมืองที่เรารักกันซักหน่อย เราแอบมีความคิดว่าชะตาของกรุงเทพฯ ถูกกำหนดด้วยน้ำ น้ำมือของนักการเมือง ผ่าม ! การบริหารจัดการคือส่วนหนึ่ง แต่ความเสี่ยงจากน้ำทะเลที่สูงขึ้นและความแออัดของคนในกรุงเทพฯ มันสร้างความกังวลที่กัดกินในใจจริงๆ ว่ากรุงเทพฯ จะเป็นเหมือน Atlantis ในอนาคต ในแง่ที่ว่ามันจมน้ำ
กรุงเทพฯ ไม่มีความมั่นคง เอาจริงๆ ลองถามใจตัวเองดู ถ้าชีวิตนี้ไม่ต้องทำงาน ชีวิตนี้มีเงิน เราจะไปอยู่ไหน กรุงเทพฯ น่าจะไม่ใช่คำตอบแรก ๆ ที่หมูเด้งขึ้นมา อย่างเราเองหากมีสตางค์ก็อยากจะไปสร้างบ้านพักอยู่ต่างจังหวัด เปิดโฮสเทล บวกร้านกาแฟเล็ก ๆ นั่งเกาไข่หมา และใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติแบบสโลว์ๆ แบบสลอธ
friends & forest เป็นพื้นที่ที่ให้สิ่งนั้นกับเราได้ (คิดว่ามันทำให้ดูแพงไป ซึ่งจริงๆแล้ว ราคาเท่าเช่าบ้านเล็กๆหนึ่งหลังในกทม.อีกที) คิดว่าพื้นที่แห่งนี้เหมาะมากๆ ขนาดเราเองยังอยากไปทำเป็นออฟฟิศเลย ลองคิดดูว่าแบบ ทำงานแบบโอเพ่นแอร์ โดยไม่ต้องมีแอร์ แต่เป็นออกซิเจนบริสุทธิ์ที่มาจากต้นไม้ มันคงจะฟินมาก ๆ
ต้นไม้อาบน้ำร้อนมาก่อน
ต้นไม้มีภูมิปัญญาบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในราก ลำต้น และกิ่งก้านใบ สิ่งมีชีวิตสีน้ำตาลเขียวนี้ได้ฝ่าฟันฤดูกาลต่างๆ มามากมาย ผ่านพายุกระหน่ำ ผ่านแสงแดดอันจ้าเสียเหลือเกิน ผ่านอุปสรรคมามากาย แต่ก็กลับค่อยๆ เติบโตสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ต้นไม้นี่มันเจ๋งสุดยอดจริงๆ
มีวิจัยหลายชิ้นที่พบว่า จิตใจของเราสงบลง สมาธิของเราเพิ่มขึ้น เมื่อได้ใช้เวลาในพื้นที่สีเขียว การได้ฟังเสียงธรรมชาติและสูดอากาศบริสุทธิ์ทำให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย ภูเขาที่เคยตั้งสูงโด่อยู่ในอกก็เริ่มลดขนาดลงจนหายไป การได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางต้นไม้ จะทำให้เราเข้าใจจังหวะของร่างกาย เราได้เรียนรู้ที่จะช้าลง และสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว โดยไม่รู้สึกเร่งรีบเร่งด่วน
สถานที่ที่ช่วยให้เราผ่อนคลายกลายเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าที่เราคิด ไม่ว่าจะเป็นช่วงสุดสัปดาห์ หนึ่งเดือน หรือนานกว่านั้น การใช้เวลาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจะช่วยปรับสมดุลของเราใหม่ ช่วยให้เรามีเวลาคิด มีเวลาฝัน และมีเวลาอยู่กับตัวเอง
บางทีนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ผู้คนจำนวนมากขึ้นสนใจการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ ไม่ใช่แค่การหนีจากเมืองใหญ่หรือแรงกดดันจากการทำงานเท่านั้น แต่ยังเป็นการได้กลับมาเชื่อมโยงกับบางสิ่งที่รู้สึกเป็นจริง สิ่งที่ไม่เรียกร้องอะไรจากเรา แต่ให้สิ่งตอบแทนมากมาย
แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราได้ใช้ชีวิตในพื้นที่แบบนั้นในแต่ละวัน
และ วันนี้ friends & forest ได้เปิดพื้นที่ให้เช่าแล้ว
พื้นที่ใกล้กทม.ที่อีก 100 ปี น้ำก็ไม่ท่วม
พื้นที่สำหรับคนที่อยากมีspace ที่ใกล้ชิดธรรมชาติ
พื้นที่ที่การสร้างสรรค์ทั้งทางธุรกิจและ well-being เป็นไปได้
สำหรับใครที่สนใจที่จะเช่าสถานที่นี้ สามารถติดต่อได้ที่ 092-462-9959 (ชิน) หรือ 089-892-5267 (ป๊อบ)
‘ที่ปล่อยพื้นที่ให้เช่า เพราะ อยากเล่นบท support มากกว่า lead: https://bit.ly/3T9UEUR
สามารถเข้าไปดูภาพสถานที่เพิ่มเติมได้ที่: bit.ly/4524rQ4
หากอยากรู้จักพื้นที่เพิ่มขึ้น สามารถไปอ่านบทสัมภาษณ์ของพี่ๆ เจ้าของได้ที่ https://readthecloud.co/friendsnforest/ ซึ่งพี่ๆ เขาได้แชร์ที่มาที่ไป ความตั้งใจ รวมถึงเรื่องราวก่อนที่จะมาเป็น Space ที่ปล่อยให้เช่าเช่นทุกวันนี้ และ สำหรับคนที่อยากทำกิจการที่ดีกับสังคมและสิ่งแวดล้อม เรื่องราคาคุยกันได้