FOMO (Fear of missing out) นี่มันอาการของมันต้องซื้อแน่ ๆ หรือแค่กลัวตกเทรนด์?

เมื่อโลกหมุนไวจนกลัวจะล้าหลัง ความกลัวที่อาจทำลายโลกโดยไม่รู้ตัว

ในยุคที่เราสามารถรับรู้ข่าวสาร เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากทั่วทุกมุมโลกได้ตลอดเวลา มันก็ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะต้องวิ่งตามทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวของเรา เพราะถ้าไม่รีบตามให้ทันก็จะกลายเป็นคนล้าหลัง หลุดเทรนด์ได้ทุกนาที ซึ่งความกลัวที่จะตามกระแสโลกไม่ทันนี้มีชื่อเรียกเก๋ ๆ ว่า FOMO หรือ Fear of missing out และถ้านี่ไม่ใช่สาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมละก็..จะมีอะไรได้อีก 

FOMO ที่มีชื่อเต็ม ๆ ว่า Fear of Missing Out มีความหมายตรงตัวเลยคือ ‘อาการกลัวว่าจะพลาดอะไรไป’ หรือ ‘ตามข่าวไม่ทัน’ ซึ่งอาการนี้ก็มีชื่อไทยว่า ‘โรคกลัวตกเทรนด์’ บางคนอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเป็นอยู่ แต่อาการหลัก ๆ ของมันก็คือ ความกังวลลึก ๆ ว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น และมีแค่เราคนเดียวที่ไม่รู้ ซึ่งอาจนำไปสู่อาการย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ตั้งแต่เล็กน้อยถึงปานกลาง อาการจะเริ่มแสดงออกมาอย่างชัดเจนหลังจากที่ออฟไลน์ไปประมาณ 10-30 นาที และกังวลว่าจะมีใครส่งข้อความมา ดาราคนไหนเลิกกัน ไปจนถึงมีอีเวนท์อะไรในกรุงเทพที่เรายังไม่รู้ มองในมุมกว้าง ๆ FOMO ไม่ได้แค่ทำให้เราเกิดความรู้สึกกังวล แต่ยังทำให้เราเผลอใช้ชีวิตตามกระแส ตามสื่อที่เราเสพโดยไม่รู้ตัว และลงเอยด้วยการซื้อของที่ไม่จำเป็นเพียงเพราะไม่อยากตกเทรนด์ ซึ่งในระยะยาวแล้ว อย่างหลังสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและโลกมากกว่ามาก

photo: Allison Saeng/Unsplash

แน่นอนว่าถ้าเราไม่อยากตกกระแส สิ่งแรกที่เราจะทำก็คือต้องออนไลน์ตลอด ซึ่งนี่ก็กินไฟละ หลังจากนั้นสิ่งที่จะตามมาก็คือ เกิดความรู้สึกว่าจะต้องตามเก็บของทุกอย่างที่ชาวบ้านเขามีกัน และเริ่มมีอาการของโรค ‘ของมันต้องมี’ ซึ่งวิธีคิดแบบนี้คือตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการบริโภคเกินความจำเป็น (Overconsumption) และอยากซื้อนั่นนี่เข้าบ้านทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นด้วยซ้ำ เทรนด์หลายอย่างนอกจากจะทำให้เราสร้างปริมาณขยะเยอะขึ้นโดยไม่รู้ตัวแล้ว ยังผลาญทรัพยากรธรรมชาติอย่าง น้ำ ดิน ต้นไม้ แร่ธาติ รวมถึงสร้างมลพิษมหาศาลเพียงเพื่อจะผลิตลาบูบู้ชิ้นนึงส่งถึงบ้านคุณ

งานวิจัยจากม.พอร์ตเมาท์โชว์ให้เห็นว่า FOMO ทำให้คนรุ่นใหม่มีพฤติกรรมซื้อของแบบหุนหันพลันแล่นมากขึ้น โดยมีโซเชียลมีเดียอย่างอินสตาแกรมหรือ Tiktok เป็นตัวจุดไฟชั้นดี ยกตัวอย่างเช่น ช่วงที่อินฟลูเอนเซอร์ขายของหรือโพสต์รูปตัวเองแต่งตัวสไตล์ใหม่ ๆ บนโซเชียลมีเดีย ชาวเน็ตก็จะพากันไปซื้อตาม แอพฯ ขายของออนไลน์อย่าง Shopee หรือ Lazada ก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คนเกิด FOMO โดยเฉพาะช่วง 11.11 หรือโปรโมชั่นใหม่ ๆ ออกมา ทุกคนต่างก็ต้องรีบจับจอง รีบโอน รีบจ่ายเพราะกลัวของหมดก่อน ความกลัวตรงนี้นี่แหละทำให้เราซื้อของที่ไม่จำเป็นมาเพียงเพราะว่าเดี๋ยวไม่ทัน

นอกจากนั้น ไม่ได้มีแค่ผู้บริโภคเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจาก FOMO แต่ยังรวมถึงผู้ผลิตด้วย FOMO ทำให้เจ้าของแรนด์ต่าง ๆ แข่งขันผลิตสินค้าหน้าตาคล้าย ๆ กันขึ้นมาเพียงเพราะมันฮิตในช่วงนั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าช่วงนี้ คนฮิตใส่ยีนส์ขาเต่อ หลายธุรกิจก็จะพากันผลิตกางเกงขาเต่อเพื่อให้ทันกระแสในช่วงเวลาดังกล่าว แล้วถ้าเทรนด์เปลี่ยนเมื่อไหร่ คนหันมาชอบกางเกงขาสั้นสีเอิร์ธโทน ก็ต้องเปลี่ยนไปผลิตเสื้อผ้าอีกแบบแทน แล้วกางเกงยีนส์ที่เคยฮิตก็ไม่ได้ฮิตอีกต่อไปแล้วและก็กลายเป็นขยะค้างอยู่ในถุงกระสอบ นอกจากนั้น การรีบผลิตข้าวของให้ทันกระแสยังทำให้คุณภาพของสินค้าลดลงเพราะเน้นความรวดเร็วจนลืมใส่ใจเรื่องคุณภาพ ทำให้ใช้ได้ไม่นานก็พัง ก็ขาด กลายเป็นขยะอีกชิ้นที่รอฝังกลบ 

Photo: katalin salles/Unsplash

ซึ่งเราจะโทษตัวเราที่เป็นผู้บริโภคอย่างเดียวก็ไม่ได้ สื่อและโฆษณาจากแบรนด์ต่าง ๆ ก็เป็นตัวการสำคัญที่หล่อหลอมให้เรากลายเป็นแบบนี้ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าผู้ร้ายคือใคร แต่อยู่ที่การตระหนักรู้ตัวเอง เมื่อเรารู้แล้วว่าตอนนี้ตัวเองกำลังไหลไปตามกระแสและเผลอทำร้ายตัวเอง คนรอบข้าง และสิ่งแวดล้อมโดยไม่รู้ตัวจากความกลัวตกเทรนด์ของเรา เราก็แค่หยุดและถามตัวเองว่าเราจำเป็นต้องใช้มันไหม วิธีที่เรามักใช้ถามตัวเองและรู้สึกว่ามันเวิร์คคือ ‘ถ้าเกิดวันนึงไฟไหม้บ้านและของพวกนี้ไหม้เป็นจุลไปในกองเพลิง เราจะยังอยากซื้อมันเป็นครั้งที่สองอยู่มั้ย’ เพราะถ้าเรารู้สึกว่าคงไม่มีเอ็นเนอร์จี้และแรงจูงใจที่จะซื้อของชิ้นนี้อีกแล้ว ก็แปลว่าของชิ้นนั้นไม่ได้จำเป็นต่อการใช้ชีวิตของเราแต่เป็นแค่ความอยากเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ซึ่งเหตุการณ์สมมตินี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม อาจจะคิดว่าถ้าเกิดภัยพิบัติขึ้น เราจะรู้สึกเสียดายไหมที่ไม่ได้เอามันติดมือมาด้วย แก่นหลักคือ เราต้องตอบตัวเองทุกครั้งว่าเรากำลังซื้อเพราะเรา ‘ต้องการ’ มันจริง ๆ หรือแค่ถูกหล่อหลอมให้อยากมีมันไว้ในครอบครองเฉย ๆ 

photo: HutchRock/Pixabay

อ้างอิง

The dark side of brands – How FOMO fuels obsessive passion and compulsive buying

No tags found for this post.

Credit

Natticha Intanan