“การแก้กฎหมายนี้แทบไม่มีความเป็นธรรมเลย แต่เป็นการตอบโจทย์แค่สามสี่ร้อยคน”
นี่คือหนึ่งในมุมมองของวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี จากสมาคมรักษ์ทะเลไทย ต่อการแก้กฎหมายประมง มาตรา69 ที่ถูกมองว่าจะเป็นหายนะต่อท้องทะเลไทย และได้ไม่คุ้มเสียสำหรับการแก้กฎหมายเพื่ออุดช่องว่างอุตสาหกรรมน้ำปลาและปลากะตักแห้ง
ท่ามกลางวงสนทนาของกลุ่มคน ‘ผู้เป็นเจ้าของทะเลไทย’ ไม่ว่าทางใดทางหนึ่งได้เล่าถึงความรู้สึกตอนที่เห็นว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายประมงที่ไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น ช็อค งง ไม่เข้าใจ หรือแม้กระทั่งความรู้สึกที่บอกว่า ‘ตอนเห็นก็รู้สึกยังไงก็คงไม่ผ่าน เพราะเด็กอนุบาลยังรู้ว่าอวนถี่แบบนี้มันไม่ควรใช้’
แต่ท้องทะเลไทยเราก็มาถึงจุดนี้
สถานการณ์ล่าสุด ตอนนี้การพิจารณา “ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 พ.ศ. …“ หรือ ร่างกฎหมายประมงฉบับใหม่ ได้ผ่านที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นที่เรียบร้อย และกำลังอยู่ในการพิจารณาของสว. และถ้าหากผ่านก็จะมีการประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
เดิมที มาตรา 69 ใน พ.ร.ก. ประมง พ.ศ.2558 กำหนดไว้ว่า
“มาตรา 69 ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร ทำการประมงในเวลากลางคืน”
ซึ่งในร่างพ.ร.บ. ฉบับแก้ไขฯ มาตรา 34 ระบุว่าให้ยกเลิกข้อความเดิม และใช้ความว่า
“มาตรา 69 ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร ในระยะ 12 ไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งในเวลากลางคืน การประมงนอกเขตพื้นที่ 12 ไมล์ทะเลทะเลตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการเงื่อนไข และพื้นที่ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ทั้งนี้ประกาศดังกล่าวต้องกำหนดในเรื่องการใช้แสงไฟล่อไว้ด้วย”
อันหมายความว่า ถ้ากฎหมายฉบับนี้แก้ผ่าน อวนล้อมจับตาถี่จะถูกใช้ทำประมงได้ในช่วงเวลากลางคืน บริเวณไกลกว่า 12 ไมล์ทะเล เท่านั้น จากเดิมที่กฎหมาย พ.ร.ก. ประมง พ.ศ.2558 ไม่อนุญาตให้ใช้เลย

แล้วมาตรา 69 กำลังมีปัญหาอะไร? การแก้กฎหมายจะได้คุ้มเสียหรือไม่?
ผลกระทบต่อท้องทะเล
✖ มีสัตว์น้ำวัยอ่อนจำนวนมากที่นอกเขต 12 ไมล์ที่กำหนด
มีการศึกษาที่ระบุว่าพบสัตว์น้ำวัยอ่อนกว่า 61 วงศ์ที่อยู่บริเวณนอก 12 ไมล์ทะเลออกไป ดังนั้น ที่ระบุว่าการเปิดให้จับหลัง 12 ไมล์ทะเลออกไปจะไม่กระทบสัตว์น้ำวัยจึงไม่ถูกต้อง หากกฎหมายนี้ถูกประกาศใช้อาจทำให้สัตว์น้ำเล็ก ๆ โดนล้อมจับหมด และส่งผลต่อปลาใหญ่ สัตว์ทั้งหลายเป็นทอด ๆ จนความสมบูรณ์ทะเลหายไป สัตว์อื่น ๆ ขาดอาหาร

✖ มาตรการประมงที่ประกาศอาจทำลายล้างสัตว์ทะเล
กฎหมายนี้อนุญาตให้ใช้ อวนล้อมจับที่ขนาดเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร (ซึ่งถี่มากกก) และเปิดให้จับตอนกลางคืนซึ่งอาจมีการใช้เครื่องปั่นไฟล่อปลาและแพลงก์ตอนต่าง ๆ ซึ่งจะดึงดูดสิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมดเข้ามาติดอวน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ปลาทูไทย ที่จำนวนลดลงไปกว่าสิบเท่าจากหลักแสนเหลือหลักหมื่น จากการทำประมงเกินขนาด ใช้อวนตาถี่และไฟล่อดักลูกปลาทูไปบริโภค จนทำให้รอดมาถึงวัยเจริญพันธุ์น้อยมาก ทำให้ทุกวันนี้ไทยต้องบริโภค ปลาทูนำเข้า เป็นหลัก ซึ่งหากกฎหมายนี้ผ่าน ทั้งปลาทูและปลาเศรษฐกิจอื่น ๆ ก็จะยิ่งลดลง ออกลูกได้น้อยลง ส่งผลกระทบเป็นทอด ๆ ในระยะยาว

“กฎหมายนี้จะทำเราล่มจมกันเป็นระบบ”
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
ไม่ใช่แค่ชาวประมงด่านหน้า แต่ยังกระทบเป็นทอด ๆ ทั้งคนบนบกที่รับแกะขยะปูปลา แม่ค้าที่รับซื้อมาส่งต่อ กลุ่มคนส่งออก ผู้บริโภคแบบเรา ๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เทียบกับกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์แล้วก็จะมีเรือที่จับปลากะตักหลักร้อยลำ และธุรกิจอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับปลากะตัก
แม้ปลากะตักจะถูกส่งเสริมการจับมากขึ้น แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าทางเศรษฐกิจก็อาจจะไม่คุ้มเสียเมื่อเทียบกับสัตว์เศรษฐกิจอื่น ๆ ที่ขายได้ราคามากกว่า มูลค่าโดยประมาณของปลากะตักเมื่อหลายปีก่อนอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 5 บาท หากแปรรูปเป็นปลากะตักแห้งแล้วจะอยู่ที่ราว ๆ กิโลกรัมละ 100 บาท เทียบกับปลาอินทรีย์ ปลากุเลา หมึกกล้วย ปูม้า และสัตว์เศรษฐกิจอื่น ๆ ที่ขายได้มูลค่าสูงหลายร้อยบาท/กิโลกรัม หากปล่อยให้โตเต็มวัย แสดงให้เห็นว่าสัตว์เศรษฐกิจนั้นสร้างมูลค่าได้มากกว่า ในปริมาณที่จับน้อยกว่า
ดังนั้นการล้อมจับแล้วเกิดสัตว์น้ำพลอยได้ติดไปจำนวนมากก็อาจเกิดความเสียหายต่อธุรกิจอาหารทะเลอย่างมาก และพวกลูกปลา เศษปลาที่ติดอวนมักจะถูกดาวน์เกรด นำไปใช้ประโยชน์แปรรูปเป็นเพียง ‘ปลาเป็ด’ (trash fish) หรือปลาป่นอาการสัตว์ ซึ่งสร้างมูลค่าได้น้อยมาก

แล้วเรามาถึงจุดนี้กันได้ยังไง?
สิ่งหนึ่งที่วงสนทนาหยิบยกขึ้นมาคือการแก้กฎหมายที่ขาดการมีส่วนร่วมของแต่ละภาคส่วนที่มีส่วนได้เสียทั้งทางตรงและทางอ้อม
✖ ทางเลือกตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่ไม่แน่ชัด
อีกหนึ่งข้อสังเกตคือการพิจารณาแก้กฎหมายฉบับนี้ยังคงขึ้นอยู่กับฐานข้อมูลที่ไม่ตรงกัน ค่าปริมาณการจับสัตว์น้ำสูงสุดอย่างยั่งยืน (Maximum Sustainable Yield: MSY) ซึ่งอาจคำนวณโดยไม่ได้อิงกับปริมาณที่สัตว์ในทะเลต้องกินตามห่วงโซ่อาหาร อีกทั้งตัวเลขที่ระบุอาจไม่ใช่แค่ปลากะตักอย่างเดียว แต่มีสัตว์น้ำพลอยได้ (Bycatch) จำนวนมากที่ติดไปด้วย แต่เป็นตัวเลขที่ไม่ถูกพูดถึง
✖ การแก้กฎหมายที่ไม่มีส่วนร่วม
เมื่อพูดถึงเรื่องท้องทะเลก็จะมีการพูดคุยกับหน่วยงานและภาคส่วนต่าง ๆ ที่ส่วนดดยตรง เช่น กรมประมง สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้าน แต่สิ่งที่คุณนัท สุมนเตมีย์ ช่างภาพใต้น้ำและนักดำน้ำยกให้เห็นคือ การหารือเหล่านี้กลับไม่มีการบูรณาการหารือกับภาคส่วนอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบในทางอ้อม เช่น ภาคธุรกิจท่องเที่ยว กลุ่มนักตกปลา จนทำให้สุดท้าย ภาพที่ออกมานั้นเป็นการแก้ปัญหาในมุมมองเดียว
สุดท้ายแล้ว แม้เศรษฐกิจเดินหน้า แต่ท้องทะเลไทยอาจถอยหลัง เมื่อผลเสียอาจมีมากกว่าที่คิดและสร้างความเสียหายในระยะยาว และหากการแก้กฎหมายครั้งนี้ผ่าน เหตุการณ์ทะเลไทยร้างก็อาจเป็นเรื่องที่ไม่เกินจริง แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรื่องอวนตามุ้งแบบถี่ถูกหยิบยกมาพูดเช่นนี้ในสังคมไทย สังคมเรากำลังเดินทางมาถึงจุดที่ต้องส่งเสียงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้ธรรมชาติอีกครั้ง

ทั้งนี้ พี่น้องเครือข่ายคัดค้านมาตรา 69 และประชาชนที่ไม่เห็นด้วยยังคงเคลื่อนไหวแสดงจุดยืน โดยหลังจากนี้ระบุว่าจะมีการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวที่บริเวณหอศิลป์ กทม. (BACC) ในทุกวันอาทิตย์ในระหว่างที่กฎหมายฉบับนี้ยังอยู่ในการพิจารณา