แม้กรมอุตุนิยมวิทยา จะประกาศว่าไทยเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ เมื่อ 28 ก.พ. 68 แต่บางวันกลับมีฝนตกหนัก บางวันอากาศหนาวเย็น บางวันร้อนอบอ้าว สภาพอากาศแปรปรวนขั้นสุด จนหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า “ตอนนี้เข้าสู่ฤดูร้อนแล้วจริงหรือไม่”
หากย้อนกลับไป พ.ศ. 2565 เคยเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยได้มีโอกาสสัมผัสกับอากาศหนาวเย็นท่ามกลางเดือนเมษายน เมื่อวันที่ 1 – 3 เมษายน โดยกรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า เป็นผลมาจากบริเวณความกดอากาศสูงค่อนข้างแรงจากจีนแผ่ลงปกคลุมไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ทำให้หลายจังหวัดในไทยอุณหภูมิลดลง เกิดอากาศหนาวเย็น ณ ช่วงเวลานั้น มีการวัดอุณหภูมิอยู่ที่ 21 – 25 องศาเซลเซียส และเกิดเทรนด์ทวิตเตอร์ #เมษาหน้าหนาว
อย่างไรก็ตาม อากาศหนาวในเดือนเมษายนไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เป็นเครื่องสะท้อนถึงภาวะสภาพอากาศแปรปรวนที่กำลังนำไปสู่ สภาพอากาศเหวี่ยงสุดขั้ว (Weather Whiplash)
เมื่อถึงฤดูหนาวก็หนาวสุดขั้ว เมื่อถึงฤดูร้อนก็ร้อนตับแตก และเมื่อถึงฤดูฝนก็โหมกระหน่ำ
สภาพอากาศที่สุดขั้วขนาดนี้ ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น อย่างช่วงต้นปีที่ผ่านมา ก็เกิดสถานการณ์ไฟป่าอย่างรุนแรงในลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา โดยมีสาเหตุที่เกิดมาจากจำนวนพืชพรรณที่มีมากขึ้นจากฝนที่ตกหนัก ก่อนที่พืชจำนวนมากเหล่านั้นจะแห้งเฉาในฤดูแล้ง และถูกเผาไหม้จากการเสียดสีหรือความร้อนในช่วงฤดูไฟป่า ซึ่งทำให้ไฟป่าที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงต้นปีมีความรุนแรงมากกว่าเดิม เพราะจำนวนเชื้อเพลิงที่มากขึ้น
นอกจากไฟป่าแล้ว ก็ยังมีน้ำท่วมเกิดขึ้น อย่างช่วงกลางถึงท้ายปีที่แล้ว ได้เกิดน้ำท่วมหนักขึ้นในหลายจังหวัดในแถบภาคเหนือและอีสานของไทย ซึ่งมีปัจจัยหนึ่งมาจากฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน รศ.ดร. เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต ออกมาเผยผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า สภาพอากาศเหวี่ยงสุดขั้วมีโอกาสจะเกิดได้บ่อยขึ้นเฉลี่ย 170% ทั้งยังมีงานวิจัยประเด็น Hydroclimate volatility on a warming Earth (ความผันผวนของสภาพอากาศในภาวะโลกร้อน) พบโอกาสเกิด Weather Whiplash เพิ่มขึ้นจาก 31% ในปี 2020 เป็น 66% ในปี 2025
ผลวิจัยดังกล่าว สะท้อนว่าภาวะสภาพอากาศเหวี่ยงสุดขั้วทวีความรุนแรงขึ้นเป็นอย่างมาก และมีแนวโน้มที่จะรุนแรงได้สูงขึ้นอีกในทุก ๆ ปี หนำซ้ำ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ดังกล่าว
นอกเหนือจากภัยพิบัติที่ไทยต้องเผชิญ อากาศที่ร้อนจัดในไทยยังส่งผลต่อการเจริญเติบโตพืชผลทางการเกษตร รายงานจากปี 2566 พบว่า GDP ภาคเกษตรกรรมติดลบ 6.4% เมื่ออากาศร้อนจัดสามารถนำไปสู่ภัยแล้งได้ ดินขาดความชุ่มชื้น กระทบต่อพืชผลที่ไม่ออกผลตามฤดูกาล และทำให้เศรษฐกิจด้านเกษตรกรรมเสียหาย
ทั้งยังมีผลกระทบด้านระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากปรากฏการณ์ Weather Whiplash ทำให้ชั้นบรรยากาศดูดซับน้ำมากขึ้น น้ำบนผิวโลกจึงระเหยมากขึ้น รวมไปถึงน้ำที่อยู่ในดินและพืชก็ถูกดูดซับเช่นกัน ทำให้เกิดอากาศที่ร้อนมากสลับกับฝนที่ตกหนัก อย่างภัยพิบัติที่เกิดขึ้น เช่น ไฟป่า น้ำท่วม กระทบต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ป่า ทั้งที่อยู่อาศัยและอาหารที่หายไปพร้อมภัยพิบัติ และสัตว์ที่ปรับตัวไม่ทันกับภูมิอากาศ สามารถเกิดอาการช็อกได้
ดังนั้น การเตรียมความพร้อมและวิธีรับมือของทุกภาคส่วนจึงสำคัญ
รศ.ดร. เสรี ศุภราทิตย์ ได้เสนอวิธีรับมือไว้ 6 ข้อ ได้แก่
1) การประเมินความเสี่ยง และความรุนแรงจากสภาพอากาศเหวี่ยงสุดขั้วรายละเอียดเชิงพื้นที่
2) การสร้างความเข้าใจ และความตระหนักต่อความเสี่ยง และระดับความรุนแรงเชิงพื้นที่
3) การพัฒนาแผนงาน ฯ โครงการฯ ป้องกันลดผลกระทบ และการปรับตัว
4) การออกแบบ และประเมินราคาแผนงาน และโครงการฯ
5) การจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วน และบรรจุแผนงานฯเพื่อขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาล และหน่วยงานต่างๆ
6) การติดตาม ประเมินสถานการณ์เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการจัดการ
โดยมีใจความสำคัญ คือ ทุกภาคส่วนต้องทำความเข้าใจกับสภาวะสภาพอากาศเหวี่ยงสุดขั้ว มีแผนนโยบายที่ชัดเจน มีการเฝ้าระวังภัยที่รัดกุม ไม่มองว่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องธรรมชาติ หรือ เป็นแค่ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล เพราะความรุนแรงที่มากขึ้น ถือเป็นสัญญาณเตือนถึงความไม่ปกติ จะนิ่งนอนใจแล้วให้ประชาชนแบกรับไม่ได้
สิ่งสำคัญ คือ การปรับตัว
Weather Whiplash เป็นผลพวงจาก Climate Change ซึ่งมีสาเหตุมาจากกิจกรรมของมนุษย์ ดังนั้น นโยบายด้านความยั่งยืน (Sustainability) จึงเป็นเรื่องสำคัญ ตั้งแต่การออกแบบเมืองที่คำนึงถึงการอนุรักษ์และเพิ่มพื้นที่สีเขียว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิต ลดการใช้พลาสติก ลดการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม และมีกฎหมายควบคุมที่เข้มงวดต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ
Climate Change และ Weather Whiplash เป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้แค่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อรักษาสภาพอากาศที่แปรปรวนขั้นสุดนี้ให้กลับมาปกติ
ทั้งหมดเป็นภัยธรรมชาติ แต่รัฐบาลก็ต้องบริหารจัดการให้ดี
ภาครัฐจำเป็นต้องเข้ามามีส่วนช่วยสนับสนุน เพื่อทำให้การปรับตัวเป็นเรื่องง่าย เช่น มีนโยบายจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้น ปรับราคาค่าโดยสารให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย และประชาสัมพันธ์ถึงผลกระทบต่อประชาชนอย่างทั่วถึง เพื่อสร้างความตระหนักและความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชน
ประเทศไทยจะได้กลับมามีฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว ตามช่วงเวลาที่ควรจะเป็น และไม่เหวี่ยงไปมาจนสร้างความสับสนเหมือนช่วงที่ผ่านมาอีกต่อไป