‘เอลนีโญ’ (El Niño) สิ้นสุดแล้ว ‘ลานีญา’ (La Niña) กำลังเข้ามา เมื่อมหาสมุทรแปซิฟิกเสียสมดุล สภาพอากาศโลกก็จะติดตามไปทำให้คาดเดาได้ยากและรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปัจจัยเหล่านี้กำหนดรูปแบบสภาพอากาศทั้งโลกได้อย่างไร?
มหาสมุทรแปซิฟิกนั้นเป็นแหล่งน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีขนาดใหญ่เกือบถึง 2 เท่าของมหาสมุทรแอตแลนติก โดยพื้นที่กว้างใหญ่เหล่านี้สร้างกระแสลมและอุณหภูมิที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ที่เรียกว่า ‘ปรากฏการณ์เอนโซ่’ (ENSO) หรือ El Niño Southern Oscillation
ซึ่งจะประกอบด้วย 3 ระยะได้แก่ ‘เอลนีโญ’ (El Niño), ‘ลานีญา’ (La Niña) และระยะกลางที่อยู่ระหว่างสองระยะก่อนหน้า แต่ทั้งหมดนี้ต่างส่งผลต่อปริมาณน้ำฝนตามฤดูกาล ความร้อน พายุ และภัยแล้งทั่วโลก โดยในสถานการณ์ปกติแล้ว นักวิทยาศาสตร์สามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้อย่างค่อนข้างแม่นยำ แต่เมื่ออุณหภูมิโลกพุ่งสูง มหาสมุทรแปซิฟิกก็แปรปรวน และมันทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย
“ในศตวรรษที่ 20 เราจะเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญแบบสุดขั้วประมาณ 1 ครั้งทุก 20 ปี” Wenju Cai หัวหน้านักวิจัยจากองค์การวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมแห่งสหราชอาณาจักร กล่าว “แต่ในอนาคตและในศตวรรษที่ 21 โดยเฉลี่ยแล้วเราจะเจอปรากฏการณ์สุดขั้วประมาณ 1 ครั้งในทุก 10 ปี ดังนั้นมันจึงเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า”
ปรากฏการณ์เอนโซ่นั้นจะสลับระหว่าง เอลนีโญ และ ลานีญา กันทุก ๆ 3-7 ปีในช่วงที่ผ่านมา ทาง NOAA หรือองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ สหรัฐฯ ระบุว่าในตอนนี้เอลนีโญกำลังสิ้นสุดลงแล้ว และมีโอกาส 60% ที่จะเกิดลานีญาในระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมปี 2024
แต่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กังวลคือ “ลานีญาครั้งนี้เป็นลานีญาที่คาดเดาไม่ได้ คำถามคือมันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่และรุนแรงแค่ไหน?” Michael McPhaden นักวิทยาศาสตร์อาวุโสของ NOAA กล่าว
ลานีญาคืออะไร?
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ลานีญาคือรูปแบบสภาพอากาศรูปแบบหนึ่งในปรากฏการณ์เอนโซ่ โดยจะทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลียฝนตกหนัก และทวีปอเมริกาใต้แห้งแล้งแทน นอกจากนี้ยังทำให้เกิดพายุเฮอริเคนถล่มมหาสมุทรแอตแลนติกเพิ่มมากขึ้นด้วย
แต่เรื่องนี้ มนุษย์โลกกำลังทำให้ทุกอย่างซับซ้อนขึ้นเมื่อยังคงปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนเกินที่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุดมันก็ไปทำให้อุณหภูมิของโลกและมหาสมุทรเพิ่มขึ้น
[หากคุณสงสัยว่าเอลนีโญคืออะไร ง่ายที่สุดเลยมันคือสิ่งที่ตรงข้ามกับลานีญา นั่นคือทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลียแห้งแล้ง และทำให้ทวีปอเมริกาใต้ฝนตกหนักแทน]
ปรากฏการณ์เอนโซ่มีผลต่อสภาพอากาศส่วนต่าง ๆ ของโลกได้อย่างไร?
สิ่งเหล่านี้ต่างเป็นผลพวงมาจากอุณหภูมิของน้ำในมหาสุทรแปซิฟิก กล่าวคือในช่วงที่เกิดลานีญา น้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกจะเย็นกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเอลนีโญ ซึ่งจะทำให้แปซิฟิกบริเวณเส้นศูนย์สูตรดูดซับพลังงานความร้อนจากชั้นบรรยากาศ
ความแตกต่างของอุณหภูมิดังกล่าวจะสร้างกระแสลม Jet stream ซึ่งเป็นแถบอากาศที่เคลื่อนที่เร็วและแคบและอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง โดยจะพาความชื้นและปัจจัยทางสภาพอากาศไปยังสถานที่ต่าง ๆ ในโลก นอกจากจะทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงแล้ว ยังทำให้ปริมาณฝนและความร้อนในบางภูมิภาครุนแรงขึ้นมากขึ้น
“ในฤดูฝนจะมีฝนตกหนักมา แต่ถ้าเป็นฤดูแล้งก็มีแนวโน้มที่จะแห้งแล้งมาก” Mickey Glantz นักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาผลกระทบของปราฏการณ์เอนโซ่ จากมหาวิทยาลัยโคโลราโดโบลเดอร์ กล่าว
ดังนั้นมันจึงหมายความสำหรับประเทศไทยในตอนนี้ที่เป็นฤดูฝนว่า ‘จะเกิดฝนตกหนักมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม’
แต่ผลที่ตามมาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ มันทำให้มีโอกาสเกิดพายุเฮอริเคนที่สุดขั้วในมหาสมุทรแอตแลนติกมากยิ่งขึ้น โดยเกิดจากการปัจจัย 2 ประการได้แก่ อุณหภูมิของน้ำและเสถียรภาพอากาศ
มหาสมุทรที่วุ่นวายทำให้สภาพอากาศโลก ‘วิปริตร’
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่ามหาสมุทรต้องมีอุณหภูมิประมาณ 26°C หรือมากกว่านั้นจึงจะเกิดเฮอริเคนได้ และอากาศเหนือมหาสมุทรจะตัองคงที่ แต่ในปีที่ผ่านมาโลกเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญซึ่งทำให้แปซิฟิกร้อนขึ้น ซึ่งยังคงถือว่าร้อนจัดในทุกวันนี้
ขณะเดียวกันโลกปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ปรากฏการณ์ลานีญาซึ่งทำให้อากาศมีเสถียรภาพมากขึ้น ท้ายที่สุดทั้งสองปัจจัย (มหาสมุทรร้อนกับอากาศเสถียร) ก็จะก่อให้เกิดพายุเฮอริเคนจำนวนมาก
บริษัท Weather Company และ Atmospheric G2 คาดการณ์ว่าฤดูพายุเฮอริเคนในปี 2024 ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนถึง 30 พฤศจิกายน จะมีพายุที่มีชื่อเรียก 24 ลูก มากกว่าค่าเฉลี่ยที่ 14 ลูก ส่วนผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ต่างให้น้ำหนักไปในทางเดียวกัน
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโคโลราโดคาดว่าจะมีพายุที่มีชื่อเรียก 23 ลูก นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียคาดว่าจะมีพายุที่มีชื่อเรียก 33 ลูกในมหาสมุทรแอตแลนติกในปีนี้ แต่อย่างที่เห็น ทั้งหมดระบุว่าจะมีพายุมากกว่าค่าเฉลี่ยในระดับ ‘มากถึงมากที่สุด’
ประเด็นก็คือสิ่งเหล่านี้คาดการณ์ได้ยากยิ่งขึ้น “(รูปแบบสภาพอากาศปัจจุบัน) ไม่ใช่ระบอบภูมิอากาศแบบเดียวกับที่เราเคยทำนายไว้ก่อนหน้านี้ ดังนั้นมันจึงพยากรณ์ได้ยากขึ้น” Glantz กล่าว แม้แต่เอลนีโญเองก็ตาม หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างคาดเดาไม่ได้ซึ่งแต่ละครั้งสุดขั้วอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
พื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดหลายแห่งของโลก เช่น ภูมิภาคแอนดีสในอเมริกาใต้ แอฟริกาใต้สะฮารา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงระหว่างปีที่มีฝนตกและปีที่มีอากาศแห้ง ระหว่างฤดูร้อนที่สงบและมีพายุ และระหว่างฤดูหนาวที่อุ่นขึ้นและเย็นลง
สิ่งสำคัญคือทั้งประชาชนทั่วไปและรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ จะต้องตระหนักถึงความรุนแรงด้านวิกฤตสภาพอากาศที่กำลังเกิดขึ้นในโลก พร้อมกับทำความเข้าใจถึงพื้นที่ที่อยู่อาศัยว่าจะได้รับผลกระทบอะไรเพิ่มเติม และมีแนวทางรับมือหรือแก้ไขอย่างไร
“มันน่าเสียดายถ้าเราท้อแท้กับการเปลี่ยนแปลงในระดับใหญ่เหล่านี้และสรุปว่า ‘ไม่มีอะไรที่เราทำได้'” John Burns นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล จากมหาวิทยาลัยฮาวาย กล่าว “มันไม่ง่ายอย่างนั้นแน่นอน … และเราต้องการกลยุทธ์ที่อิงตามสถานที่เพื่อปกป้องระบบเหล่านี้”
แล้วประเทศไทยพร้อมแค่ไหนกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป?
ที่มา
Anthropogenic impacts on twentieth-century ENSO variability changes I Nature
How La Niña will shape heat and hurricanes this year I Vox
EL NIÑO/SOUTHERN OSCILLATION (ENSO) DIAGNOSTIC DISCUSSION I CLIMATE PREDICTION CENTER/NCEP/NWS
When climate change throws the Pacific off balance, the world’s weather follows I Popular Science