ชวน เป๋า ยิ่งชีพ พักยกการเมืองมาเปิดงานอดิเรกปลูกต้นไม้ 

ว่าด้วยโลกอีกใบที่มีแต่ต้นไม้ แหล่งพักใจกลางภาวะการเมืองที่เดือดดาล

“จริง ๆ ผมทำอะไรหลายอย่างมาก ช่วงแรกที่ทำ iLaw ก็ทำกิจกรรมมากมาย เล่นดนตรี เดินทาง กางเต็นท์ นอนป่า แต่พอมีรัฐประหารโดยคสช. (ปี 2557) เข้ามา เราก็ตั้งใจว่าจะสู้กับมันนี่ล่ะ จนช่วงปี 63 ที่โดนล็อกดาวน์ก็เลยมีเวลาหันมาปลูกต้นไม้จนมีโลกอีกใบที่ไม่ใช่การเมืองบ้าง และเกิดเป็นเพจ See-sow-seeds” นี่เป็นประโยคที่เป๋าย่อชีวิตเขาให้เราฟังแบบง่าย ๆ แต่มีภาพประกอบฉากขึ้นมาเต็มไปหมด เพราะหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 2557 เชื่อว่าหลายคนที่ติดตามการเมืองคงพอจะคุ้นเคยหน้าตาของเขาหรือองค์กร iLaw อยู่บ้าง ในฐานะกลุ่มคนที่พยายามจะผลักดันการแก้กฎหมายให้คนเท่ากันหรือขับเคลื่อนการลดช่องว่างความไม่เป็นธรรมทางกฎหมายในสังคม

ย้อนกลับวันที่เราติดต่อเป๋า-ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ หรือที่ทุกคนอาจคุ้นในชื่อ ‘เป๋า iLaw’ ว่าจะขอสัมภาษณ์เรื่องการปลูกต้นไม้และเพจ ‘See-sow-seeds’ ของเขา ประโยคแรกที่เจ้าตัวตอบกลับมาคือ “ดีใจที่ได้รับการติดต่อในประเด็นที่ไม่ใช่การจัดตั้งรัฐบาล และส.ว. ครับ” ก่อนที่จะตอบรับอย่างยินดีและเปลี่ยนโหมดเข้าสู่บทสนทนาที่ว่าด้วยเรื่องของการเพาะเมล็ด ปลูกต้นไม้ ซึ่งเป็นงานอดิเรกหลักของเขา 

เริ่มต้นนับจาก 0 คนเมือง-มือร้อน-ไม่รู้จักต้นไม้เลยด้วยซ้ำ

“ผมเป็นคนกรุงเทพฯ เกิดและโตที่กรุงเทพฯ เป็นคนมือร้อนด้วยนะ แถมไม่รู้จักต้นไม้เลยด้วยซ้ำ”

นี่คือสิ่งแรกที่ ‘เป๋า-ยิ่งชีพ’ นิยามตัวเอง เมื่อเราถามถึงจุดเริ่มในการเป็นนักเพาะปลูก

แม้จะไม่ได้คลุกคลีกับธรรมชาติเป็นทุนเดิม แต่ดูเหมือนจะเป็นความคุ้นเคยที่ค่อย ๆ สะสมผ่านแต่ละช่วงชีวิตที่ผ่านมา เป๋าเล่าย้อนความให้ฟังว่า ทั้งช่วงชีวิตมัธยมฯ และมหาลัยฯ ก็เข้าร่วมชมรมอนุรักษ์มาตลอด และหลังจากนั้นก็ห่างหายไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงหลังเรียนจบที่เขาหันมาทำงานสาย NGO ที่ iLaw (โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน) เต็มตัวจนถึงปัจจุบัน

“เราทำงานไอลอว์มาเป็น 10 ปี ก็ไม่มีเวลากลับไปแตะต้นไม้เลย จนมาถึงช่วงต้นปี 63 ซึ่งมีพรรคอนาคตใหม่ (ที่ยังไม่ถูกยุบ) เป็นฝ่ายค้าน เราก็คิดว่าฝ่ายค้านเข้มข้นพอที่เราจะได้พักละ ก็มีเพื่อนชวนไปเรียนคอร์สปลูกป่าที่จังหวัดขอนแก่น 10 วัน กับ อาจารย์นพพร นนทภา ซึ่งเป็นศาสตราจารย์เรื่องต้นไม้ของผมเลย สรุปคือ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย (ฮา) เขาพาไปชี้ดูต้นไม้ เรามึนหมด ครั้งนั้นก็เลยเหมือนได้ไปเที่ยว ได้เป็นประสบการณ์ไป

แต่มาเริ่มเพาะคือช่วงโควิด เมษายน 2563 ที่โดนล็อกดาวน์ พออยู่บ้านไม่มีอะไรทำ ก็เปิดตู้เย็นมาเจอพวกเมล็ดที่เคยเก็บไว้ ก็เลยลองเพาะดู ปรากฏว่าขึ้นนะ ต้นแรกคือแคนา ก็เลยลองต้นพะยอม 60-70 ต้นก็งอก ก็เริ่มมั่นใจขึ้น เลิกคิดว่ามือร้อนหรือปลูกไม่เป็นแล้ว” 

เป็นเรื่องเป็นราวจนเปิดเป็นเพจ ? 

เป๋าเล่าเสริมว่า ด้วยความที่เป็นคนเมือง แบบไม่มีทักษะด้านการเกษตรใด ๆ ทั้งขุดดิน ถางหญ้า หรือดูแลรักษาก็ไม่ถนัดเลย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ตัวเองชอบและถนัดคือ ‘การเก็บเมล็ดและเพาะรักษา’ จึงนำไปสู่การเปิดเพจเพื่อแชร์เรื่องราวและส่งต่อต้นไม้ เพราะต้นกล้าโตแล้วเยอะมาก (กกกก) แต่ก็หาที่ลงไม่ทันซักที

“จุดเริ่มต้นที่มาเปิดเพจ See-sow-seeds ก็เพราะช่วงแรก ๆ ที่เราฝึกเพาะ เราเจอปัญหาว่าพวกคลิปต่าง ๆ บอกหมดว่าเพาะยังไง วิธี ขั้นตอนแบบไหน แต่ไม่มีใครบอกเลยว่ากี่วันจะงอก จะต้องรอไปอีกนานไหม หรือเราหมดหวังไปยังวะ (ฮา) ก็เลยตั้งใจว่าเออ พอแล้วปลูกแล้วเดี๋ยวเราจะบอกเอง เพื่อแก้ pain point นี้ให้คนที่เพาะเหมือนเรา” 

“ตอนแรก ๆ ที่เพาะก็โพสต์ลงหน้าเฟสตัวเอง แต่ก็เหมือนเป็นไบโพลาร์อะ เดี๋ยวก็อัพด่ารัฐบาลคสช. เดี๋ยวก็มาเรื่องต้นไม้ ละก็ต่อด้วยบ่นศาลรัฐธรรมนูญ ก็เลยตัดสินใจเปิดเพจแยกออกมาอีกเพจดีกว่า ตัวตนจะได้ชัดเจนและจัดการเรื่องตอบแชทการแจกต้นไม้ได้ง่าย”

 สนุกตอนเก็บเมล็ด ใจฟูตอนเห็นต้นกล้าเติบโต 

“ส่วนมากเรารู้สึกว่ามีความสุขที่สุดตอนเก็บ ยิ่งพวกต้นไม้ใหญ่ ๆ เรายิ่งรู้สึกว่ามันส่งความรู้สึกกลับมา ไปจับ ไปมอง ไปนั่งเล่นใต้ต้น ก็จะรู้สึกได้พลังเชิงบวกกลับมา ยิ่งช่วงเมษา-พฤษภาจะเป็นช่วงที่เก็บเมล็ดดีที่สุด เพราะเป็นฤดูที่ต้นไม้ในไทยออกลูกมาก เราก็เดินเก็บลูกที่ตกไปเรื่อย มาเก็บเอาไว้

สุดท้าย พอชอบเก็บแล้วก็ต้องกลับมารับผิดชอบให้หมด ก็เหมือนขอต้นไม้มาแล้ว เราก็ไล่เปิดยูทูป ไปซื้อตำรามา ลองเพาะไปก็ขึ้นบ้างไม่ขึ้นบ้าง แต่พอมันขึ้นมาแล้วก็น่ารัก เป็นช่วงที่ชุบชูใจที่สุด เราก็เฝ้าดูจนใบเริ่มขึ้น 

พอดูมันเติบโตก็ผูกพัน อยากให้มันได้ลงดิน แต่จะไปลงไหนก็ไม่มีที่ดิน เราก็อยากเอามันลงดินด้วยมือของเรา อยากให้มันเติบโตด้วยตาของเราว่าต้นนี้ที่เราเห็นตั้งเต่เป็นเมล็ด มันโตจนผลิใบขึ้นมา มันก็ผูกพันเรื่อย ๆ เป็นวัฏจักรไม่หยุด” 

แล้วการแจกต้นกล้าให้กับเพื่อน ๆ ในเพจของ See-sow-seeds แน่นอนว่าไม่ได้แจกยังไงก็ได้เพียงอย่างเดียว เป๋าเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่เปิดเพจมาเจอคนหลากหลายกลุ่มมากที่ทักมาขอต้นไม้ คือมีใจอยากจะปลูก แต่ไม่รู้จักชนิดต้นไม้หรือมีความรู้เรื่องสภาพดินมากนัก สิ่งที่ทำได้จึงเป็นการช่วยแนะนำต้นไม้ที่เหมาะสมให้

“ตอนคนทักมาขอ เราก็ช่วยดูว่าต้นอะไรเหมาะกับที่แบบไหน กว้างแค่ไหน ก็มาประเมินกันว่า น้ำเยอะ น้ำน้อย ดินเค็ม ดินเปรี้ยว ก็ช่วยเลือกให้ไป เรียกได้ว่าแจกไปฟรี ๆ แต่ขอมีเงื่อนไขว่า ถ่ายรูปกลับมาอัพเดทให้เห็นต่างหน้ากันหน่อย เพราะเราก็ผูกพันกับมันเกือบทุกต้น ปลูกเอง ย้ายเอง แต่พอทำไม่ทันก็ต้องส่งต่อคนอื่นเพื่อให้ต้นได้ไปเติบโต”

สุดท้ายยังมีคนที่อยากและพร้อมจะปลูกต้นไม้อีกมาก

สิ่งที่ได้เห็นผ่านเลนส์ของ See-sow-seeds คือ ยังมีคนอีกมากที่อยากปลูกต้นไม้และมีที่ดินที่พร้อมจะปลูก แต่ไม่มีโอกาสหรือขาดคนที่จะช่วยให้คำปรึกษา 

อย่างประเด็นที่เคยมีคนตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับที่ดินแปลงใหญ่ในเมืองที่ปลูกกล้วย ปลูกมะนาว ว่าเป็นการตั้งใจเลี่ยงภาษีที่ดินหรือไม่ เป๋าแชร์ให้เราฟังว่า ตรงนี้ถ้าสามารถเปลี่ยนมาปลูกต้นไม้ให้ถูกชนิดและเพิ่มความหลากหลายได้ก็จะดีกว่ามาก ซึ่งนี่เป็นอีกเป้าหมายที่เป๋า และ See-sow-seeds อยากเห็นคือ การที่พื้นที่ดินในเมืองถูกใช้ปลูกต้นไม้อย่างมีประโยชน์และดีต่อระบบนิเวศน์จริง ๆ มากกว่าการปลูกชนิดเดียว ๆ กัน แล้วตายทิ้งมากกว่ารอด

 เล่ามาขนาดนี้ดูต้องทุ่มเทเวลาเยอะ นอกเหนือจากนี้ มีงานอดิเรกอื่นไหม? 

“ไม่มีนะ คสช.ไล่ทำลายงานอดิแรกในชีวิตผมไป”

“จริง ๆ ผมทำอะไรหลายอย่างมาก 5-6 ปีแรกที่ทำไอลอว์ เราทำกิจกรรมมากมาย เล่นดนตรีก็เล่น เดินทาง กางเต็นท์ นอนป่า เราก็ไป 

แต่พอมีรัฐประหารโดยคสช. (ปี 2557) เข้ามา เราก็ตั้งใจว่าจะอุทิศชีวิตสู้กับมันนี่ล่ะ แต่จนช่วงปี 63 ที่ล็อกดาวน์ก็เลยมีเวลาหันมาปลูกต้นไม้บ้างจนมีโลกอีกใบที่ไม่ใช่การเมืองบ้าง”

“บางทีช่วงการเมืองเดือด ๆ แล้วมันเครียด มันอินนะ มันไม่สามารถแยกออกจากตัวได้ ความเครียดมันตามกลับมา จะนอนก็เล่นโซเชียล ไปข้างนอก เจอเพื่อนก็ยังตามมา

การจะพักผ่อนจริง ๆ คือต้องเอาตัวเองไปทำอย่างอื่น แต่ละวันจะพยายามหาเวลา 2 ชั่วโมง/วัน ขึ้นไปผสมดิน ย้ายต้นไม้ เอาเมล็ดมาแช่น้ำ ลงเพาะ ถ้าได้สักสัปดาห์ละครั้งก็จะเป็นการรีเฟรชตัวเอง สิ่งนี้มันเลยช่วยให้เรามีพลังมาก พอรีเฟรชได้สัก 2 ชั่วโมง ล้างมือ วิ่งออกไปทำงานต่อ” 

“ความต่างระหว่างงานการเมืองกับงานเพาะเมล็ดอย่างหนึ่งคือ การปลูกต้นไม้นี่มันค่อนข้างเป็นวิทยาศาสตร์ พอคาดหมายได้ว่าถ้าทำแบบนี้มันจะงอก ถ้าทำครบสูตรมันจะโต มันแปรผันตรงกับผล ไม่ใช่คน แต่อย่างงานการเมืองที่มันมีหลายอย่างที่ควบคุมไม่ได้ ถึงเราเชื่อ ลงแรงทำแบบนนี้ แต่ก็อาจจะมีคนอีกกลุ่มที่ไม่เชื่อ มองว่ามันเลวร้าย มันก็มีความขัดแย้ง ความเครียดตลอด ๆ

ช่วงหนึ่งเราก็เลยคิดเอาเองว่า พวกงานที่อยู่กับธรรมชาติพวกนี้ อย่างเพาะต้นไม้ ทำงานกับต้นไม้มันก็ช่วยสร้างทรัพยากร และอีกอย่างคือมันฮีลใจ ไม่ต้องไปขัดแย้งกับใคร”

บทสนทนากับเป๋าและจากการไปเยี่ยมเยียนสวนดาดฟ้าของเขายิ่งทำให้เห็นว่า ‘งานอดิเรก’ นั้นไม่ได้มีความหมายเพียงการรัก คลั่งไคล้ทำสิ่งใดบ่อย ๆ แต่ยังเป็นเหมือนที่พึ่งทางใจที่ทำให้เราหลบหนีจากความเครียดได้ และธรรมชาติก็อาจเป็นอีกหนึ่งความสงบที่ช่วยให้เราผ่อนคลายและปล่อยวางจากสิ่งที่ควบคุมไม่ได้รอบตัวได้เช่นกันล่ะ

Credit

Chayanit S.

เป็นคนกรุงเทพฯ ชอบเดินเที่ยวเมือง ฟังเพลงซ้ำ ๆ นั่งโง่ ๆ ดูคนคนใช้ชีวิต :-)