หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ ‘ฮะซัน’ หรือ ‘มาโนช พุฒตาล’ ในบทบาทของพิธีกร นักดนตรี นักจัดรายการวิทยุ
เจ้าของค่ายเพลง Milestone Records ที่มีศิลปินในสังกัดอย่าง ดิ โอฬาร โปรเจ็คต์, มาลีฮวนน่า และอีกหลาย ๆ วง ที่อย่างน้อยก็คงต้องเคยได้ยินเพลงดังผ่านหูกันมาบ้าง ปัจจุบัน ‘ฮะซัน’ จัดรายการวิทยุที่ อสมท และ สารคดี ‘สามัญชนคนไทย’ ทางช่อง Thai PBS แต่ไม่ว่าจะเป็น “นัก” อะไร เขาบอกว่าสิ่งที่เขาทำ ล้วนมาจากพื้นฐานของการเป็น “นักเล่าเรื่อง” ทั้งสิ้น
ธรรมชาติคือครูคนแรกของมนุษย์
‘ถ้าเราใช้หูฟังมากพอ แม่น้ำก็เป็นครูให้เราได้’ คือประโยคที่คุณมาโนชได้พูดไว้ขณะสัมภาษณ์ สำหรับใครที่คอยติดตามผลงานของคุณมาโนช ผ่านงานดนตรีหรือได้ฟังผ่านวิทยุ จะทราบกันดีว่าคุณมาโนชจะมาพร้อมกับเรื่องเล่าที่มาจากสิ่งรอบตัว นำเสนอบอกเล่าเรื่องราว ให้ผู้ชมผู้ฟังจินตนาการภาพตามอยู่เสมอ
สิ่งหนึ่งที่เราชวนคุยกันในบทสนทนานี้คือเรื่องของ ‘เสียง’ ที่ไม่ว่าเราจะอยู่ที่แห่งไหนมนุษย์เราก็สร้างเสียงขึ้นมาตลอดเวลา ไม่ว่าจะเสียงจราจร ก่อสร้าง เยอะแยะมากมาย จนบางทีก็ทำเอาประสาทเสียได้เหมือนกัน ต่างกับเสียงของธรรมชาติที่ ‘ฮะซัน’ ตั้งคำถามในวงสนทนาของพวกเราว่า ‘เคยสังเกตไหมว่าในทางกลับกัน เสียงที่ธรรมชาติสร้างขึ้น แม้จะดังอึกทึกแค่ไหน แต่ก็ยังชวนให้เรารู้สึกสงบสบายได้เสมอ’
ว่าแล้วก็หามุมเงียบ ๆ นั่งลงฟังเสียงธรรมชาติ แล้วอ่านบทสัมภาษณ์กับคุณ มาโนช พุฒตาล กัน

ธรรมชาติที่สร้าง มาโนช พุฒตาล
คุณมาโนชเล่าว่าเขาเติบโตมาใน ชุมชนริมน้ำ ณ เมืองเก่า ‘อยุธยา’ ผู้คนมีชีวิตยึดโยงอยู่กับแม่น้ำ ลำห้วย คนในชุมชนยังเดินทางด้วยเรือเป็นหลัก ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปจากวิถีชีวิตเดิม เพราะการตัดถนนและการสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ
‘ผมโตมาในช่วงรอยต่อระหว่างยุคที่คนใช้แม่น้ำลำธารเป็นหลัก เปลี่ยนมาใช้ถนนหนทาง เปลี่ยนจากเกษตรเพื่อกิน เป็นทำเกษตรเพื่อขาย เปลี่ยนจากแม่น้ำไหลไปมาตามธรรมชาติ ก็เริ่มมีการสร้างเขื่อนเพื่อควบคุมปริมาณน้ำ’
เพราะทุกการเปลี่ยนแปลงมีข้อดีและข้อเสียเสมอ เขาเล่าต่อว่าการเข้ามาของการพัฒนาเมือง ตัดถนนและสร้างเขื่อนก็ทำให้ทุกอย่างสะดวกสบายขึ้น การค้าการขายมีความสะพัดขึ้น แต่ก็ต้องแลกมากับ ‘ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ’ ที่ถดถอยลง
‘ในยุคที่ยังไม่มีสิ่งเหล่านี้ น้ำมันก็ท่วมนะ ท่วมเป็นปกติ แต่เรามีชีวิตอยู่ได้ เพราะน้ำมันก็ไหลไปไหลมาทุกวัน ไม่มีการท่วมขัง เราสามารถวักน้ำในแม่น้ำมากินยังได้เลย แต่พอสร้างเขื่อนปั๊บน้ำก็ท่วมเหมือนเดิม แถมหนักกว่าเดิม พวกปูปลาอะไรก็หายไป เพราะผสมพันธุ์ไม่ได้ น้ำมันเน่าเพราะถูกกักเอาไว้ อันนั้นน่าจะเห็นภาพที่สุดเลยครับ’
หากมองดนตรีเป็นเครื่องมือ คิดว่าเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญยังไงในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม?
‘จริง ๆ แล้วการจะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเนี่ย เราต้องทำทุกอย่าง ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ดนตรีถูกใช้บ่อยเพราะดนตรีนำมาซึ่งสันติ และอารมณ์ที่เคลิบเคลิ้มคล้อยตาม และผมก็คิดว่าดนตรีก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอยู่แล้ว เหมือนมันเป็นเครื่องมือของตัวเขาเองอยู่แล้ว’
คุณมาโนชเล่าต่อว่า ‘เวลาผมไปนั่งที่อุทยานแห่งชาติหลาย ๆ ที่ เราจะได้ยินเสียงมากมายหลายอย่างเลย แต่ถ้าตั้งใจฟังดี ๆ แมลงบางชนิดจะปล่อยเสียง มาเป็นจังหวะจะโคน นกบางชนิดร้องสื่อสารกันเป็นจังหวะ ทำนอง ดนตรีกับธรรมชาติมันก็เลยเหมือนเป็นเรื่องเดียวกัน’

แล้วอย่างอัลบั้ม ‘เชนมีคู่หูเป็นลิง’ มีที่มายังไง ? ทำไมต้องพาลิงเข้ามาส่งเสียงในเมือง?
‘มันเป็นเหมือนเพลงนิทานซึ่งจริง ๆ แล้วผมไม่ได้มีแนวคิดอะไร ผมมีเพื่อนชื่อคุณเชน (ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ) เขาเป็นช่างภาพสัตว์ป่า จะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กลางป่า คุณเชนจะบอกผมเสมอว่า ภาพที่ถ่าย เขาเป็นเพียงแค่ผู้กดบันทึกและนำเสนอเพียงเท่านั้น แต่ศิลปินที่เป็นเจ้าของผลงานตัวจริงคือธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยตัวธรรมชาติเอง ผมก็ได้ฟังแล้วก็จินตนาการไปเรื่อย หยิบเรื่องเขาเอามาเล่าต่อ’
หากท่านผู้อ่านลองเปิดฟังอัลบั้ม ‘เชนมีคู่หูเป็นลิง’ จะพบว่ามันมีความเป็น ‘เรื่องเล่า’ มากกว่าที่จะเป็นอัลบั้มเพลง ฟังไปเรื่อย ๆ ก็เพลินดีเหมือนมีคนมาเล่านิทานให้ฟัง แต่ภายใต้ความเพลิดเพลินนี้ มีข้อความสำคัญบางอย่างซ่อนอยู่
‘ผมพยายามจะอธิบายว่าการจะปกป้องสิ่งแวดล้อมเนี่ย มันทำโดยสัตว์ไม่ได้ คนทำให้ระบบเปลี่ยนแปลง จะแก้ก็ต้องให้คนช่วยแก้ ถ้าลิงอยากจะพูดก็ต้องให้คนช่วยพูด ต่อให้เป็นลิงวิเศษอย่าง ฮูวาฮู ก็ไม่สามารถทำอะไรได้หากคนไม่ช่วยเหลือ’ เพลง ‘เชนมีคู่หูเป็นลิง’ จึงเป็นเหมือนเรื่องเล่าที่สะท้อนให้เห็นความสำคัญของมนุษย์ ในฐานะผู้ชี้ชะตาธรรมชาติทั้งหลาย
มองว่าธรรมชาติและสภาพแวดล้อมมีอิทธิพลต่อความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์บ้าง?
“ต้องใช้คำว่าแล้วแต่คน แต่สำหรับผมมันมีผลอย่างยิ่ง เช่น เวลาผมอยู่ในที่ที่แออัดจ๊อกแจกจอแจ มันจะรู้สึกฟุ้งซ่าน จัดระเบียบความคิดค่อนข้างยาก บางทีถึงกับทำอะไรไม่ได้เลยล่ะ
แต่กลับกัน เวลาที่ผมไปใช้ชีวิตกลางแจ้ง ไปกางเต็นท์นอนอยู่ริมลำห้วย ลำธาร เราก็เห็นคนที่เขาเลี้ยงควาย เขาแจวเรือข้ามลำธาร เราก็ดู เอ้อ เขาสงบสบายดีเนอะ มองไปเรื่อย ๆ ก็ไปเห็นควายมันเดินตามกัน เราก็ดู เอ้อมันก็น่ารักดีนะ พอมองไปมองมาก็นึกได้ว่า อ่าว นั่งมองลำธารอยู่ แต่ใจดันไปคิดเรื่องหนังสือที่เราเคยอ่าน ไปคิดเรื่องหนังที่เราเคยดู ไอ้อารมณ์ที่มันสงบสบายนี่แหละ มันทำให้เราจัดระเบียบความคิดได้ง่าย ซึ่งมันคือสมาธิ พอมีสมาธิมันก็หลั่งไหลมาเป็นความคิดสร้างสรรค์”

ท้ายที่สุดแล้ว ธรรมชาติทำหน้าที่ช่วยบำบัดมนุษย์อย่างไร?
“ยกตัวอย่างง่าย ๆ สมมุติถ้าผมไปนอนอยู่ในที่ที่มีแต่เสียงการจราจรอึกทึกครึกโครมผมจะนอนไม่หลับ แต่กลับกันผมไปนอนในป่า เสียงแมลงนี่อื้ออึงเลย แต่มันกลับหลับได้ทั้ง ๆ ที่เสียงก็ดังเท่ากันไม่ต่างจากเสียงรถหรือเรือที่วิ่งไกล ๆ”
“เรายังรู้สึกต่ออีกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มันอยู่แบบไม่สะสมความเห็นแก่ตัว ไม่ได้คิดจะมาตักตวงอะไรจากเรา เขาแค่ทำหน้าที่ของเขา รักษาสมดุลของระบบนิเวศน์ พอเราคิดได้แบบนี้ก็เลยรู้สึกว่า นั่นแหละคือสิ่งที่เขาบำบัดเรา”
หลังจบบทสนทนากับ ‘ฮะซัน’ สิ่งหนึ่งที่เราค้นพบคือ สิ่งมีชีวิตในธรรมชาติทั้งหลายนั้นหลอมรวมกันเป็น ‘หนึ่งชีวิต’ ดั่งเป็นแม่ให้ทุกสรรพสิ่ง และอยู่คู่กับชีวิตมนุษย์ทุกคนตลอดเวลา นับตั้งแต่วินาทีที่ ‘ลืมตาดูโลก’ จนถึง ‘ลมหายใจสุดท้าย’ เปรียบเสมือนกับ ‘คู่ชีวิต’ ที่คอยดูแลและโอบกอดเราไว้ในทุกลมหายใจ
ในวันที่มนุษย์เราพยายามจะเป็นเจ้าของโลกใบใหญ่นี้ สุดท้ายเราควรหันมาตั้งคำถามกับตนเองเสียทีว่า หากจะดูแลคู่ชีวิตให้อยู่กับเราไปได้อย่างยั่งยืน ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราควรจะรักและหวงแหนธรรมชาติ ให้มากขึ้นเหมือนที่เราโอบอุ้มคนที่เรารัก?
สุดท้ายนี้ เราไม่ได้ออกมาพูดในนามของธรรมชาติ เพราะธรรมชาตินั้นพูดคุยกับเราตลอดเวลา หากแต่มนุษย์อย่างเรานั้น รับฟังเสียงจากธรรมชาติมากพอหรือยัง?
Writer: Phirawit C.