เมื่อพูดถึง “ความยั่งยืน” ทุกคนจะนึกถึงอะไร? การปลูกต้นไม้ การแก้ปัญหาขยะ หรือการลดการปลดปล่อยมลพิษใช่ไหม? แต่เรื่องความยั่งยืนอาจมีมากกว่านั้น พูดคุยกับ “คุณจอย ณัฐกาญจน์ เด่นวณิชชากร” ที่มองว่าความยั่งยืนอาจหมายถึงเรื่องทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา ทั้งสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เราควรทำความเข้าใจ โดยเฉพาะ “การปรับตัวรับมือสังคมผู้สูงอายุ” ในประเทศไทย เพื่อให้การปรับตัวนี้เป็น “โอกาส” ของคนทุกช่วงวัยในการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืนไปด้วยกัน
คุณจอย CEO ‘JoyRide’ บริการรรับส่งผู้สูงอายุและผู้ป่วยไปหาหมอ ที่หลายคนน่าจะคุ้นหูพอสมควร นอกจาก JoyRide แล้ว คุณจอยยังมีโครงการ ‘Forest For Rest’ อุปถัมภ์ต้นไม้ที่เชื่อมสังคมผู้สูงอายุในชนบทกับคนในเมืองเข้าไว้ด้วยกัน แล้วธุรกิจเพื่อสังคม 2 อย่างนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง ชวนทุกคนมารู้จักคุณจอยไปพร้อมๆ กับเรา
คุณจอยเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เมื่อได้อยู่ใกล้ๆ แล้ว ก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานบวก และความสดใสรอบตัว อาจจะด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอ รวมถึงเสื้อผ้าสไตล์เรียบง่ายแต่สดใส บวกกับเครื่องประดับผมดอกไม้ที่นับว่าเป็น ‘ซิกเนเจอร์’ ของเธอคนนี้เลยก็ว่าได้ ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกแล้วเราจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจึงมีแพสชั่นในการทำอะไรบางอย่างเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ไม่ว่าจะเป็น JoyRide Forest For Rest หรือรับจ้างล้างห้องน้ำ ที่คุณจอยกำลังดำเนินการในส่วนของธุรกิจเพื่อสังคม ต่างก็เพื่อเชื่อมคนเมืองกรุงกับคนชนบทในด้านสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพเข้าด้วยกัน และยังสร้างงานให้ผู้สูงอายุ หรือผู้หญิงที่มีพื้นที่ทางสังคมน้อย เพื่อทำให้สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพนี้มีความยั่งยืน
แต่เมื่อคุณจอยเริ่มเล่าเส้นทางแพขชั่นของตัวเอง เรากลับพบว่าภายใต้รอยยิ้มสดใส เราอาจไม่รู้เลยว่าคนคนนั้นต้องเผชิญอะไรมาบ้าง
คุณจอยเคยเผชิญกับ ‘โรคซึมเศร้า’ ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าไม่ต้องการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องเดินทางไปพบจิตแพทย์ที่โรงพยาบาล หลังจากพบคุณหมอเสร็จ คุณจอยกลับเห็นภาพผู้สูงอายุมากมายที่กำลังรอพบแพทย์ในโรงพยาบาล มันจึงทำให้เธอเริ่มจุดประกายอะไรบางอย่าง…
“พอเห็นคนแก่ มันทำให้เรานึกถึงเพื่อนที่ทำงานว่าเวลาจะขอเจ้านายลางาน เพื่อพาพ่อแม่ไปหาหมอแต่กลับลาไม่ได้ มันเลยทำให้เราอยากทำ JoyRide ขึ้นมา”

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยภาวะซึมเศร้าที่คุณจอยกำลังเผชิญ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เธอมักจะคิดเกี่ยวกับ ‘ความตาย’ อยู่บ่อยครั้ง จนถึงขั้นที่ว่าอยากทำให้ตัวเองประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็คิดได้ว่าสภาพร่างคงดูไม่ค่อยสวยนัก และจะกลายเป็นภาระให้คนอื่นอีกด้วย
ฉากงานศพจาก Move to Heaven ที่ตัวละครวิ่งไปกอดต้นไม้จุดประกายความคิด
“หลังจากดูฉากนี้แล้วเราเลยเริ่มรู้สึกว่า คนเราจัดงานวันเกิดได้ทุกปี จัดงานแต่งกี่รอบก็ได้ หรือจะเป็นงานรับปริญญาก็ตาม แต่เราจะตายแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” คุณจอยกล่าว ซึ่งถ้าเราตายแล้วกลายเป็นต้นไม้ การตายของเราจะมีคุณค่า เธอยังเล่าต่ออีกว่าพอถึงวันที่เธอจากโลกนี้ไปแล้วลูกหลานคิดถึงตัวเธอก็จะยังสามารถกลับมา ‘กอดต้นไม้’ ที่มีอัฐิของเธอได้
กลับกันตามประเพณีของคนไทยเชื้อสายจีน ช่วงเชงเม้งหากทุกหลุมศพมีลูกหลานมาหา แต่หลุมเราร้าง เพราะไม่มีลูกหลาน เราคงเป็นวิญญาณที่เหงาน่าดู เราตายแบบเหงาๆ แต่ถ้าเราเป็นต้นไม้เราก็สามารถให้ร่มเงาแก่คนที่ผ่านมาพักผ่อน หรือสิ่งแวดล้อมรอบข้างได้ และต่อให้ไม่มีใครมาเรายังสามารถสร้างพื้นที่ออกซิเจนให้โลกได้
“จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้น Forest For Rest สวรรค์คนเป็น ร่มเย็นคนไป”

เนื่องด้วยสภาพสังคมไทยที่มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น อัตราการเกิดต่ำ คนตายเยอะ การเผาศพตามธรรมเนียมก็เยอะขึ้น ซึ่งการเผานี้ก็สร้างมลพิษด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากเรามาช่วยกันปลูก ‘ต้นไม้เพื่อเป็นตัวแทน’ ของคนที่เรารัก อย่างน้อยๆ สัก 1 เปอร์เซ็นต์ มันก็จะช่วยเพิ่มออกซิเจนให้โลกนี้ต่อ เพราะคุณจอยเชื่อว่าแม้จะเป็นเพียงเปอร์เซ็นต์เล็กๆ แต่มันก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้
โดยทั้ง Joy Ride และ Forest For Rest ต่างก็เป็น Social Enterprise ที่นอกจากจะเป็นส่วนเล็กๆ ในการฮีลสังคม และสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังสามารถ ‘ฮีลใจ’ ของคุณจอยได้อีกด้วย
เมื่อ ‘สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน’ อาจไม่ได้หมายถึงแค่ธรรมชาติ
คุณจอยเล่าว่า ปัจจุบันสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เวลาพูดถึง ‘สังคมสูงวัย’ แล้ว คำๆ นี้จะกลายเป็นคำ ‘ด้านลบ’ เช่น “วิกฤตสังคมสูงวัย ปัญหาคนแก่เพิ่มคนเกิดลด สังคมสูงวัย ภาระที่เรากำลังเผชิญ” คือมันจะมี 3 คำนี้ขึ้นมาอยู่เสมอ ซึ่งมันก็เกี่ยวเนื่องไปจนถึงระบบเศรษฐกิจ ดังนั้นคนสูงวัยหลายคนก็กลัวว่า พอเขาแก่ เกษียณ แล้วไม่มีเงินก็จะเป็นภาระให้กับลูกหลาน หรือคนอื่นๆ
เมื่อเรามองสิ่งนี้ด้วยเลนส์ปัญหา มันก็จะเป็น “ภาระ” ของชาติ เป็นภาระของคนรุ่นใหม่ กอปรกับคนรุ่นหลังๆ เริ่มไม่มีลูกกันเยอะขึ้น ในอนาคตเด็กที่จะกลายมาเป็นคนรุ่นใหม่ต่อจากเรา เขาก็จะต้องทำงาน เสียภาษีเพื่อมาหล่อเลี้ยงคนชราในประเทศอีกเยอะมาก ซึ่งไม่ใช่ญาติของเขาอีก
แต่ถ้าเราปรับทัศนคติหรือ mindset ของผู้คนว่า “สังคมสูงวัยคือโอกาสแห่งการปรับตัว” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นอยู่ที่ดี (wellness) การท่องเที่ยว (tourism) หรือแม้แต่โรงเรียน ที่หลายๆ คนน่าจะเคยเห็นข่าวว่ามีโรงเรียนหลายแห่งปิดตัว เพราะอัตราเด็กลดน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งจอยคิดว่าโรงเรียนควรมีการปรับตัวให้เป็นสถานที่สำหรับ การเพิ่มหรือพัฒนาเพื่อยกระดับทักษะใหม่ๆ (Upskill) การเปลี่ยนหรือเพิ่มทักษะใหม่ให้สามารถทำงานกับความเปลี่ยนแปลง (Reskill) หรือ เป็นชุมชนสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งตรงนี้แหละจะช่วยให้พวกเขาสามารถประกอบอาชีพ เป็นอีกส่วนช่วยให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้
ผู้สูงอายุคือเด็ก
สำหรับคุณจอยแล้ว ผู้สูงอายุก็คือ “เด็กในร่างชรา” เพราะพัฒนาการและสุขภาพร่างกายเขากำลังเสื่อมถอยลง จะลุกเดินก็ไม่สะดวก บางคนต้องใส่ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ โดยเธอเสนอว่าเราอาจลองใช้โมเดล Excutive Function (EF) ที่ปกติแล้วใช้สำหรับวัยเด็ก แต่เราสามารถนำมาปรับใช้กับวัยชราเพื่อชะลอความเสื่อมถอยดังกล่าว เพื่อให้พวกเขาอยู่ในภาวะพึ่งพิงช้าที่สุด
เมื่อเราเปลี่ยน mindset ได้ การพัฒนาก็จะเกิดขึ้น
ถ้าเราปรับ mindset ผู้คนเกี่ยวกับสังคมคนชราในประเทศ ก็จะเปลี่ยนจาก ‘วิกฤต’ เป็น ‘โอกาส’ เนื่องด้วยศักยภาพของประเทศไทยด้านงานบริการ ภาคธุรกิจจึงควรปรับให้กลายเป็น universal desire หรือ ความปราถนาสากล เพื่อรองรับผู้สูงอายุจากทั่วโลก และกลายเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกในด้านนี้เพิ่ม เราจะมีรายได้จากตรงนี้เพิ่มขึ้น รวมถึงสร้างงานให้กับคนในประเทศเพิ่มมากขึ้นด้วย
‘ประเทศไทยเป็นจุดมุ่งหมายของผู้สูงอายุตั้งแต่เชียงใหม่ พัทยา หัวหินไปจนถึงภูเก็ต’
คุณจอยเล่าว่าคนญี่ปุ่นชอบไปอยู่เชียงใหม่ อย่างไรก็ตามรายได้ที่เราได้จากนักท่องเที่ยวเกษียณอาจไม่ได้เยอะ แต่ถ้าเรากำหนดทิศทางให้ประเทศไทยเป็นสถานที่สุดท้ายที่คนวัยเกษียณอยากมาอยู่และตายที่นี่ โดยที่วาระสุดท้ายของเขาก็กลายเป็นการส่งคืนพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศของเรา แบบนี้ก็น่าจะเวิร์คเหมือนกัน
“สิ่งที่จอยคิดไม่ใช่เรื่องใหม่ มีคนเคยทำมาแล้ว และจอยก็ยินดีมากๆ ถ้าคนรุ่นต่อๆ ไปอยากสานต่อแนวคิดเหล่านี่”
การให้โอกาสสังคมผู้สูงอายุก็เป็นการสร้างความยั่งยืนให้สังคม
ปัจจุบันผู้คนไม่เพียงแต่ต้องตระหนักสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่รวมถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ด้วย โดยคุณจอยบอกกับเราว่า เธอมั่นใจมากๆ ว่า JoyRide จะช่วยส่งเสริมความยั่งยืนในด้าน Good health and well-being ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงบริการทางด้านสุขภาพ และก่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น

เธอยังกล่าวต่ออีกว่าหากมีองค์กร หรือหน่วยงานไหนที่อยากทำโปรเจกต์เกี่ยวกับต้นไม้ หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับการ recycle หรือ upcycle (รวมถึงผลิตภัณฑ์ของผู้สูงอายุเอง) แล้วมีการจ้างงานผู้สูงอายุเข้าไปในระบบด้วย ก็จะเป็นการทำงานควบคู่กันอย่างยั่งยืน
แล้วทำไมเราต้องใส่ใจผู้สูงอายุ?
ในมุมมองของการสร้างเมือง ผู้สูงอายุกลายเป็นชุมชนที่ค่อยๆ ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นว่า ‘ผู้สูงอายุล้นเมือง’ ไปแล้ว แต่เราจะทำอย่างไรไม่ให้เขากลายเป็น “ภาระ” ?
คนที่มีบทบาทมากกับชุมชนนี้ก็จะเป็นแพทย์ อย่างที่เราทราบกันคือบุคลากรทางการแพทย์มีจำนวนจำกัด แม้ว่าเราจะสร้างโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่งแต่ก็จะขาดแคลนบุคลากรในด้านนี้ ดังนั้นภาพผู้สูงอายุ หรือประชาชนที่ไปรอคิวที่โรงพยาบาลก็จะยังมีเหมือนเดิม คนสูงอายุหลายคนก็จะไม่ไปโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะเหตุผลว่าไม่สะดวกไปรอทั้งวัน เดินทางลำบาก หรือเกิดการสื่อสารไม่เข้าใจ
ปัญหาที่พบต่อมาคือผู้สูงอายุจะไม่ค่อยชอบกินยา บางคนถึงขั้นวางยาทิ้งไว้เฉยๆ โดยที่ไม่เคยรับประทานตามแพทย์สั่ง ยาเหล่านั้นจึงกลายเป็น “ขยะ” นอกจากจะกลายเป็นขยะแล้ว ก็เป็นการใช้งบประมาณด้านยาอย่างเสียเปล่าด้วย เพราะเหมือนกับการที่รัฐจ่ายเงินค่ายาให้ประชาชน แต่สุขภาพของเขาไม่ดีขึ้น แต่ถ้าเราลดช่องว่างตรงนี้ได้ ปัญหาด้านขยะ หรืองบประมาณสูญเปล่าก็จะลดลง
นอกจากนี้คุณจอยยังกล่าวต่ออีกว่ายิ่งพออัตราคนตายสูงขึ้น การสร้างพื้นที่เก็บอัฐิ การเผา หรือการลอยอังคารตามความศรัทธายิ่งเพิ่มขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้แม้จะดูเล็กน้อยแต่ก็เป็น “มลพิษ” ได้เช่นกัน เธอจึงคิดว่างานศพควรต้องเรียบง่าย เมื่อร่างกายสูญสลาย จะดีกว่าไหมถ้าเรา ‘กลับคืนสู่ธรรมชาติ’ อย่างน้อยๆ ถ้าต้นไม้ที่มีอัฐิของเราอยู่มันสามารถเติบโตได้เป็น 10 ปี นั่นหมายความว่า “เถ้ากระดูกของเราสามารถต่อลมหายใจให้กับโลก” ได้เลยนะ
“หากในประเทศนี้มีเจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิงอย่างคุณแอน ทองประสม จอยก็คงเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการวัยชรา”
เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับบอกเราว่าเธออยากพูดในสิ่งที่เป็นพลังงานบวก แม้ว่าเธอจะอยู่ในฐานะของผู้ประกอบการรายย่อย แต่เธออยากให้คนรุ่นต่อไปเห็นแนวคิดของเธอวันนี้แล้วจุดประกายอะไรบางอย่างขึ้นในใจ เพราะสิ่งที่คุณจอยทำนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ เธอจึงเชื่อมั่นว่าคนรุ่นใหม่ๆ จะสามารถสร้างสรรค์อะไรบางอย่างขึ้นเพื่อช่วยเหลือโลกของเราให้น่าอยู่ พร้อมกับสิ่งแวดล้อมที่ดีได้แน่นอน

มองภาพตัวเองอย่างไรหลังวัย 60 ปี?
คุณจอยเล่าว่า “หากจอยยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนั้น (หัวเราะ) จอยหวังว่าตนเองจะไม่ป่วยติดเตียง เพาาะอยากเป็นคนแก่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี” หากในอนาคตโปรเจกต์ของเธอยังคงพัฒนาต่อไปได้เรื่อยๆ จะสามารถสร้างความยั่งยืนด้านการสร้างอาชีพให้คนหลายๆ กลุ่มของสังคม รวมถึงผู้สูงอายุ และเป็นรายได้ให้กับตัวเองในยามเกษียณด้วย
“นอกจากนี้จอยยังอยากให้ทั้ง JoyRide หรือ Forest For Rest เป็น social enterprise จอยไม่อยากเรียกมันว่าธุรกิจเลย เพราะมันยังไม่ได้ทำกำไร แต่จะสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นถัดไป ซึ่งมันจะดีมากๆ ถ้าก่อให้เกิดสิ่งเล็กๆ เมื่อมารวมกันแล้ว ก็จะสร้างผลที่ยิ่งใหญ่ตามมาได้”
ซึ่งถ้าคุณจอยทำได้ก็จะเกิดความยั่งยืนที่ต่อเนื่อง แล้วอาจจะมีคนที่สามารถนำสิ่งเหล่านี้ไปต่อยอดอะไรบางอย่างให้กับสังคมมากขึ้น ทำให้คนหลากหลายช่วงอายุอยู่ร่วมกันได้ในสังคม คนสูงวัยจะไม่เป็นภาระให้กับใคร และเราจะเข้าอกเข้าใจกันและกันมากขึ้น
“สุดท้ายนี้จอยหวังว่าเรื่องราวของจอยจะสามารถ inspire คนรุ่นใหม่ แล้วสร้างสิ่งที่ดี เกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่าสิ่งที่เราทำ”
ตลอดการสัมภาษณ์คุณจอยมักจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอ ทำให้เราสัมผัสถึงความสุข ความจริงใจ และพลังของการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับสังคมอยู่เสมอ และด้วยพลังงานดีๆ แบบนี้มันก็ทำให้เราเริ่มคิดว่าการหาทางอยู่ร่วมกันกับสังคมสูงวัย จริงๆ แล้วมันไม่ได้แย่ แต่กลับจะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และเราก็สามารถมีความสุขร่วมกันได้ 🙂