แม้วาเลนไทน์จะพ้นผ่านไป ความเศร้าที่มีในใจก็ยังไม่จางหายสักเท่าไหร่ และ และ ที่เศร้ากว่านั้น รู้หรือไม่ว่านอกจากอกหักแล้ว ยังมีเรื่องเศร้ากว่านั้น เมื่อเครื่องดื่มย้อมใจหลายชนิดทั่วโลกอาจเสี่ยงหมดไปเพราะโลกรวน ไม่ว่าจะไวน์ เบียร์ วิสกี้ เหล้ารัม ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้มีผลมาจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ หรือ Climate Change ที่ทำให้สภาพอากาศร้อนเกิน หนาวเกินที่จะปลูกวัตถุดิบได้ตามที่เคยเป็น รวมถึงพื้นที่การเกษตรที่หายไปจากดินถล่ม หน้าดินทลาย ที่เกิดขึ้นจากฝนที่ตกหนักรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ชวนมาสำรวจเรื่องราวก้นแก้วของเครื่องดื่มย้อมใจทั่วโลกเหล่านี้กัน แก้วไหนจะอยู่ แก้วไหนจะไป แล้วกว่าจะมาเป็นเครื่องดื่มย้อมใจเหล่านี้ มันมีส่วนผสมจากธรรมชาติอะไรบ้างนะ
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มักกลายเป็นสัญลักษณ์ของการดื่มย้อมใจ ถ้าคุณคิดว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้คุณลืมเรื่องเครียดบางอย่างได้ละก็.. คุณคิดถูก! แต่นั่นก็แค่ชั่วขณะเดียวเท่านั้น เพราะแอลกอฮอล์ที่วิ่งพล่านเข้ามาในร่างกายจะส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลางให้ทำงานช้าลงและลดความสามารถในการประมวลผลข้อมูลหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงลืมเรื่องราวแย่ ๆ ไปได้ชั่วคราวขณะดื่มย้อมใจ
ดื่มให้ตัวเองอีกที กับรักที่พึ่งผ่านพ้นไป ว่าแต่..จะเหลืออะไรให้ดื่มไหมเนี่ย?
ฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฤดูร้อนที่ร้อนขึ้น ยาวนานขึ้น และพายุที่รุนแรงทวีคูณเรื่อย ๆ
ปัจจัยที่เลวร้ายและยากจะคาดเดาเช่นนี้ทำให้กระบวนการการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบดั้งเดิมยากขึ้นในแต่ละพื้นที่ยากขึ้น ทั้งรสชาติเดิมที่อาจหายไป ราคาที่แพงขึ้น ไปจนถึงเลวร้ายที่สุดคือการที่เครื่องดื่มนั้นไม่สามารถผลิตได้อีก

✱ ฮ็อปหาย เบียร์อังกฤษก็หาย
อากาศที่อุ่นขึ้นและแห้งแล้งขึ้นส่งผลกระทบต่อการเติบโตของฮ็อป ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ให้รสขมในเบียร์ “ถ้าไม่มีฮ็อป เบียร์ขนาดไพน์ของอังกฤษก็จะสูญพันธุ์” ดาเนียล วีแลน จากโรงเบียร์ Shepherd Neame บอกกับ BBC และอังกฤษอาจต้องนำเข้าเบียร์เท่านั้น และวัฒนธรรมการดื่มเบียร์อาจหายไป
วัฒนธรรมการดื่มเบียร์ถือเป็นวัฒนธรรมหลักของคนยุโรปในหลายประเทศ แค่เพียงในสหราชอาณาจักรเพียงประเทศเดียวก็ขายเบียร์ได้ 8.5 พันล้านพินต์ อ้างอิงตามข้อมูลของสมาคมเบียร์และผับอังกฤษ ประกับกับอุตสาหกรรมคราฟต์เบียร์ที่เฟื่องฟูมากขึ้นทำให้ความต้องการเบียร์ที่มีรสชาติเข้มข้นเป็นเอกลักษณ์นั้นสูงขึ้นไปอีก และส่งผลต่อความต้องการใช้ฮ็อปคุณภาพสูง
ไม่ใช่แค่เบียร์อังกฤษ แต่เบียร์สัญชาติยุโรปอื่น ๆ ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน Mirek Trnka นักวิจัยจาก Global Change Research Institute Academy of Sciences of the Czech Republic ได้คำนวณว่าการผลิตฮ็อปส์นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 มีอัตราลดลงร้อยละ 20 ในบางภูมิภาคของยุโรป
อีกทั้งทีมวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งสาธารณรัฐเช็ก (CAS) และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ประมาณการว่า ผลผลิตฮ็อปส์อาจลดลงมากถึงร้อยละ 18 ในยุโรปภายในปี 2050
ในระหว่างนี้ เกษตรกรจึงต้องปรับตัวโดยใช้เทคนิคทางการเกษตรอื่น ๆ เช่น ระบบน้ำหยดและการย้ายพืชผลไปยังสถานที่ริมน้ำเพื่อบรรเทาความร้อน รวมถึงนักวิทยาศาสตร์กำลังทำงานเพื่อผลิตฮ็อปพันธุ์ที่ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องดื่มชนิดนี้เสื่อมโทรม

✱ วิสกี้ ที่อาจน้อยลงจากข้าวบาร์เลย์และธัญพืชที่ลดฮวบ
พืชผลหลักที่ใช้ในการผลิตวิสกี้นั่นคือ ‘ข้าวบาร์เลย์และธัญพืช’ แม้ในช่วงที่ผ่านมาณหภูมิที่สูงขึ้นทั่วสหราชอาณาจักรจะทำให้ผลผลิตข้าวบาร์เลย์คงที่หรือเพิ่มขึ้น แต่ในบางภูมิภาค เช่น ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสกอตแลนด์ กลับพบว่าผลผลิตลดลงเป็นจำนวนมากเนื่องจากดินที่อิ่มตัว
ด้วยทั้งการเพาะปลูกข้าวบาร์เลย์และธัญพืชมีความอ่อนไหวต่อสภาพภูมิอากาศรวมถึงปริมาณฝน จึงส่งผลต่อการเพาะปลูกในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสกอตแลนด์ที่พบว่าผลผลิตลดลงจากดินอิ่มตัว ซึ่งมีผลมาจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น และการนำพืช สัตว์ และเชื้อราต่างถิ่นรุกรานเข้ามามากขึ้นจนเป็นภัยคุกคามต่อพืชผลธัญพืชท้องถิ่น
ทั้งนี้ การศึกษาวิจัยในวารสารของ Royal Society Interface ยังระบุว่าสหราชอาณาจักรจะได้รับผลกระทบรุนแรงจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น โดยจะสร้างความเสียหายต่อพืชผลข้าวสาลีที่ใช้ผลิตวิสกี้กว่าเกือบ 3,000 ล้านปอนด์ต่อปี จึงเป็นเรื่องสำคัญทางเศรษฐกิจด้วยที่จะต้องหาแนวทางพัฒนาสายพันธุ์ที่ทนต่ออุณหภูมิสูงได้มากขึ้น

✱ ไวน์ทั่วโลกที่รสชาติเปลี่ยนไปจากองุ่นที่ได้รับผลกระทบ
ไวน์ มีรสชาติที่เปลี่ยนไป ด้วยกระบวนการปกตินั้น ไวน์จะต้องพึ่งพาพืชผลองุ่นเป็นวัตถุดิบสำคัญ แต่ด้วยปัญหาอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้นทำให้ทั้งสายพันธุ์เดิมที่ใช้ พื้นที่เดิมที่ปลูกนั้นกลับไม่ได้ผลผลิตแบบเดิม พืชผลองุ่นสุกเร็วขึ้น มีรสชาติหวานขึ้นจากน้ำตาลและปริมาณแอลกอฮอล์ในไวน์มากขึ้น ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก เพราะ ‘สารแทนนิน’ จากการบ่มเปลือกและเมล็ดองุ่น ที่จะช่วยสร้างเอกลักษณ์รสฝาดในไวน์นั้นจะหายไปด้วย
มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย British Columbia เมืองแวนคูเวอร์ ที่ระบุว่าหากอุณหภูมิโลกร้อนเพิ่มขึ้นอีก 2 องศา โดยที่มนุษย์ไม่มีความพยายามในการปรับตัว พื้นที่ปลูกองุ่นทั่วโลก 56 เปอร์เซ็นต์จะหายไป และอาจจะต้องพยายามหาพันธุ์องุ่นที่จะมาทดแทนกันได้ในอนาคต
อาทิเช่น พื้นที่ในแถบสแกนดิเนเวีย ที่ปัจจุบันมีอากาศเย็น แต่ในอนาคตหากมีอากาศอุ่นขึ้น ก็อาจกลายเป็นพื้นที่ที่สามารถปลูกองุ่นได้

✱ Prosecco สปาร์กลิงไวน์ที่อาจหายไปเพราะพายุฝน
Prosecco หรือสปาร์กลิงไวน์ที่ผลิตในไร่องุ่นบนภูเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี นั้นกำลังจะได้รับผลกระทบ เนื่องจากผลผลิตองุ่นนั้นน้อยลดลงจากสภาพอากาศที่เลวร้ายและดินเสื่อมโทรม
เมื่อปีที่แล้ว มีการวิเคราะห์ตีพิมพ์ในวารสาร iScience ที่ระบุว่า
“ผลผลิตองุ่นเปราะบางและอยู่ในภาวะเสี่ยง”
ซึ่งปัญหาหลักที่พบเจอในอิตาลีคือปัญหาฝนตกหนักเฉียบพลันที่ทำให้เกิดการกัดเซาะดินอย่างกะทันหันและดินถล่มในไร่องุ่นที่ลาดชันบริเวณ Valdobbiadene และ Conegliano ที่ใช้ผลิต Prosecco คุณภาพสูงสุด รวมถึงเรื่องของ ‘ภัยแล้ง’ ที่เป็นอีกปัญหาที่ทำให้การชลประทานพืชผลเป็นเรื่องยากขึ้นมาก
ผู้ผลิตประมาณการว่าสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้การเก็บเกี่ยวองุ่นสำหรับทำไวน์ของอิตาลีลดลงถึง 1 ใน 5 เลยทีเดียว

✱ Pálinka เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นชื่อจากฮังการีที่ต้องหาวัตถุดิบใหม่
Pálinka เครื่องดื่มสัญชาติฮังกาเรียนก็กำลังจะได้รับผลกระทบตามไปเช่นกัน โดยรสชาติอาจเปลี่ยนไปซึ่งเป็นผลจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง Pálinka หรือ ปาลิงกอ เป็นบรั่นดีผลไม้แบบดั้งเดิมที่ผลิตในฮังการีมาตั้งแต่ยุคกลางและเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ได้รับการคุ้มครองเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของสหภาพยุโรป
ผลไม้ที่ใช้ในการผลิต Pálinka ได้แก่ พลัม แอปริคอต แอปเปิล ลูกแพร์ ราสเบอร์รี่ ลูกเกดดำ และเชอร์รี แต่บางชนิดก็ปลูกยากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศได้ระบุว่า Climate Change กำลังคุกคามพืชผลในฮังการี โดยเฉพาะราสเบอร์รี่และลูกเกดดำ
สาเหตุหลักคือการที่ลมตะวันตกมีกำลังอ่อนลง ในขณะที่สภาพอากาศจากทางเหนือและทางใต้พัดมาบ่อยขึ้น ส่งผลให้ผลไม้กลายเป็นน้ำแข็งในฤดูใบไม้ผลิมากขึ้น ขณะที่พืชผลก็ต้องเผชิญกับภัยแล้งรุนแรงขึ้นในฤดูร้อน จนผู้ผลิตบางรายได้ต้องมีการทดลองปลูกด้วยวิธีอื่น เช่น ลองปลูกพืชผลที่ออกดอกช้าเพื่อเลี่ยงน้ำค้างแข็งในเดือนพฤษภาคม หรือทดลองปลูกด้วยกีวี ซึ่งเหมาะกับสภาพอากาศ แต่จะทำให้ปาลิงกอมีรสชาติที่แตกต่างออกไป
‘ภัยแล้ง’ ปัญหาที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดไหนก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
นอกเหนือจากเรื่องของพืชพันธุ์ผลไม้ที่ถูกใช้ในเครื่องดื่มแต่ละชนิด ส่วนผสมสำคัญก็คือ ‘น้ำ’ ที่กำลังเป็นที่น่ากังวลทั่วทุกมุมโลก กว่าจะได้มาซึ่งพืชผลที่นำมาใช้กลั่นและหมักเพื่อออกมาเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ละชนิดได้นั้นก็จะเป็นจะต้องใช้ปริมาณน้ำมหาศาลในการเพาะปลูก แต่ในปัจจุบันหลายประเทศกำลังเจอกับภัยแล้งมากขึ้น รวมถึงปริมาณหิมะหรือปริมาณฝนตกในฤดูใบไม้ผลิที่สามารถนำมาพัฒนาคุณภาพน้ำและใช้ต่อได้กลับหายไป และส่งผลต่อการเพาะปลูกอย่างมาก
แม้แต่บริษัท Diageo Plc บริษัทสุราที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อต่าง ๆ เช่น จิน Tanqueray เบียร์ Guinness และ Baileys Irish Cream ก็ยังแสดงความกังวลถึงภาวะขาดแคลนน้ำสำหรับการผลิต เมื่อน้ำคิดเป็นมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของสุรา และมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของเบียร์ ทำให้ปัญหานี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สั่นสะเทือนธุรกิจเครื่องดื่มทั่วโลก โดยธุรกิจเครื่องดื่มกว่า 43 แห่งทั่วโลกประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเมื่อปีที่แล้ว โดย Michael Alexander จาก Diageo Plc กล่าวกับนิตยสาร Time ว่า
“แม้คุณจะอยู่ในโรงเบียร์หรือโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในโลก แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงเมื่อเกิดภัยแล้งขึ้นได้”
อ้างอิง
https://www.bbc.com/news/science-environment-67078674
https://news.climate.columbia.edu/2020/01/27/wine-regions-shrink-climate-change/
https://whiskipedia.com/fundamentals/climate-change-and-whisky