แม้อากาศจะเปลี่ยนไป แต่สุขภาพกายใจต้องไม่เปลี่ยนตาม

เมื่ออากาศไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สุขภาพของเราจึงต้องพร้อมกว่าเดิม ทำไมคนเมืองถึงควรเข้าใจภัยภูมิอากาศเพื่อดูแลตัวเองให้รอดในยุคที่อากาศคือความเสี่ยง

‘เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝน เดี๋ยวหนาว.. ประเทศไทยไม่มีฤดูหนาวนี่หน่า’ 

แต่ก็ไม่แน่นะ ปลายปีนี้ความเย็นอาจจะมาเยือนก็ได้ สภาพอากาศในปีนี้เรียกได้ว่าปั่นป่วน คาดเดาอะไรไม่ได้เลย หนำซ้ำรายงานหลายชิ้นยังบอกเราอีกว่า ‘โลกจะเจอกับอากาศสุดขั้ว’ บ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้นในอนาคต บทความนี้ Environman ร่วมกับ Prudential ชวนให้ทุกคนเข้าใจ Climate Change มากขึ้น เพื่อเตรียมรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอนของสภาพอากาศ 

ปรากฎการณ์เอลนีโญและลานีญาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สภาพอากาศของไทยในปีนี้ปั่นป่วน แต่นั่นเป็นเพียงหนึ่งในส่วนผสมของหลายๆ ปัจจัยที่มาซ้อนกัน ด้วยความที่โลกมีอุณหภูมิเฉลี่ยมากขึ้นส่งผลให้เรามีฤดูที่แปรปรวนตามไปด้วย พอโลกอุ่นขึ้น ระบบมรสุมก็เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม 

แม้จะไม่มีประเทศไหนหลีกเลี่ยงจาก Climate Change ได้ แต่ลึกๆ แล้ว มันก็มีความไม่ยุติธรรมอยู่ เพราะผลกระทบของมันไม่ได้ถูกกระจายอย่างเท่าเทียมกัน และประเทศไทยจัดว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศที่จะได้รับผลกระทบจาก Climate Change เสมอมา

รู้สึกกันไหมว่าฤดูร้อนปีนี้อากาศร้อนขึ้นกว่าทุกปี ผิวหนังรู้สึกยิบยับทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน ฝนก็ตกไม่เป็นเวลา บางทีกลางวันแดดจ้า เผลอแปปเดียวฟ้าครึ้ม ฝนสาดกระหน่ำ การจราจรติดขัด ถ้าลองเสิร์ชดูจะเจอว่าเรามีทั้งข่าวว่าฝนจะมาไวขึ้นและฝนจะมาช้าลงกว่าเดิม นี่แหละคือความไม่แน่นอนที่เราจะต้องเจอ เป็นเหมือน ‘โรคประจำเมือง’ ที่เราต้องช่วยกันหาวิธีรักษา

ทุกคนรู้สึกไหมว่าหน้าร้อนปีนี้มันร้อนขึ้นกว่าทุกปี เข้าใจแหละปกติเราก็บ่นกันอยู่แล้วว่าร้อน แต่ปีนี้ต้องยอมรับจริงๆ ว่ามันร้อนแบบแห้งเหือด ร้อนแบบแผดเผาจิกกัดผิวหนังจนรู้สึกยิบยับครั่นเนื้อครั่นตัว ตัวเลขอุณหภูมิบางวันพุ่งทะลุ 40 องศาในหลายจังหวัด 

วิกฤตภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ความเปลี่ยนแปลงของโลกกำลังทำให้เมืองกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อสุขภาพเรากำลังเผชิญ ‘โรคเรื้อรังของเมือง’ อย่างความร้อนสุดขั้ว ฝุ่นพิษ PM2.5 และฟ้าฝนที่คาดเดาไม่ได้ คนเมืองจึงต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเพื่อรักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจในยุค New Normal ของสภาพอากาศ

โรคประจำเมือง

กรุงเทพฯ และเมืองใหญ่อีกหลายแห่งกำลังเผชิญกับอากาศที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตามสถิติช่วงปี 2503-2543 กรุงเทพฯ มีวันอากาศร้อนจัด (มากกว่า 35 องศา) ประมาณปีละ 60-100 วัน และมีหลายบันทึกที่ระบุว่าอุณหภูมิพุ่งเกิน 40 องศา อย่างในวันที่ 7 พ.ค. 2566 กรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่าอุณหภูมิในกรุงเทพสูงถึง 41 องศาในบางพื้นที่ แต่แบบจำลองภูมิอากาศคาดการณ์ว่าภายในอีก 100 ปี ข้างหน้า วันจะเพิ่มเป็น 153 วันต่อปี เท่ากับว่าเกือบครึ่งปีเราจะร้อนตับแตก 

สาเหตุนั้นมาจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บวกกับปรากฏการณ์ ‘เกาะความร้อนในเมือง (Urban Heat Island)’ ที่เกิดจากตึกคอนกรีตหนาแน่นสะสมความร้อน พื้นผิวถนนดูดกลืนไอแดด และการจราจร/เครื่องปรับอากาศที่ปล่อยไอร้อนออกมาในเมือง ผลคือเขตใจกลางเมืองจะร้อนกว่าชานเมืองหลายองศา แถมยังทำให้ตอนกลางคืนอากาศเย็นลงช้า ส่งผลให้บางคืนอุณหภูมิต่ำสุดยังสูงเกิน 28-30 องศา จนหลายคนบ่นว่า “ร้อนจนนอนไม่หลับ” ซึ่งการนอนไม่พอเรื้อรังก็ยิ่งบั่นทอนสุขภาพกายใจในระยะยาว

อากาศร้อนสุดขั้วยัง เพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพร้ายแรงถึงชีวิต โดยเฉพาะกับกลุ่มเปราะบางอย่างเด็กและผู้สูงอายุ มีการประมาณว่า หากอุณหภูมิเฉลี่ยในเขตเมืองสูงขึ้นเพียง 1 องศา อาจทำให้คนกรุงเทพฯ เสียชีวิตจากเหตุอากาศร้อนเพิ่มขึ้นกว่า 2,300 ราย และในจำนวนนั้นมีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เกือบ 9 แสนคน และผู้สูงวัยกว่า 1 ล้านคนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง นี่ยังไม่นับรวมผลกระทบทางอ้อมอื่นๆ เช่น ประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลงเพราะร้อนจนเหนื่อยล้า (งานวิจัยพบว่าแค่ร้อนขึ้น 1 องศา อาจทำให้ประสิทธิภาพแรงงานกลางแจ้งในกรุงเทพฯ ลดลงประมาณ 3.4% สูญเสียค่าจ้างร่วม 4.4 หมื่นล้านบาทต่อปี) การต้องทำงานในสภาพอากาศที่ร้อนจัดอาจทำให้คนเสียชีวิตได้ ไม่ว่าจะด้วยลมแดด (Heatstroke) โรคหัวใจกำเริบ และภาวะขาดน้ำรุนแรง อีกทั้งยังมีประเด็นค่าไฟที่พุ่งสูงเพราะแอร์ต้องทำงานหนักขึ้น (+17,000 ล้านบาท/1 องศา) ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจครัวเรือนของคนเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ปรากฏการณ์อากาศร้อนจัดกำลังเกิดขึ้นในแทบทุกมหานครของโลก ปี 2025 โตเกียวเพิ่งทุบสถิติวันที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยวัดได้ (41.2 องศา) โรงพยาบาลในญี่ปุ่นต้องรับผู้ป่วยล้มแดดความร้อนกว่าหมื่นคนในสัปดาห์เดียวกลางเดือนกรกฎาคม และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 16 รายจากคลื่นความร้อนครั้งนี้ ขณะที่โซลก็เผชิญอากาศร้อนอบอ้าวตลอดทั้งคืน (‘คืนเขตร้อน’) ต่อเนื่องกันยาวนานถึง 22 คืน ทำให้ทางการต้องประกาศเตือนประชาชนให้ระวังโรคลมแดดและดูแลตนเองเป็นพิเศษ จะเห็นได้ว่าความร้อนระดับ extreme ไม่ได้เป็นแค่เรื่องอุณหภูมิสูงขึ้น แต่คือภัยสุขภาพที่คร่าชีวิตผู้คนได้พอๆ กับโรคระบาดหรือภัยพิบัติอื่นๆ เลยทีเดียว

นอกจากร้อนแล้วยังมีฝุ่น ช่วงไม่กี่ปีมานี้ “ฝุ่น” กลายเป็นคำที่คนไทยคุ้นหูกันทุกฤดูหนาว เมื่อ PM2.5 หรือฝุ่นละอองขนาดเล็กจิ๋ว (เล็กจนเล็ดลอดผ่านหน้ากากอนามัยธรรมดาได้) ปกคลุมเมืองจนฟ้าเทากลายเป็น “มลพิษอากาศ” ส่งผลให้เรามองเห็นตึกไกลๆ เป็นฝ้าๆ และที่ร้ายคือส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบทางเดินหายใจของคนทุกวัย ฝุ่น PM2.5 เกิดได้จากทั้งการเผาไหม้เชื้อเพลิง (ควันรถ โรงงาน ไฟป่า การเผาไร่) และสภาพอากาศปิดที่ทำให้ฝุ่นจมตัวไม่กระจายไปไหน ยามที่สถานการณ์วิกฤต เราจะเห็นภาพคนใส่หน้ากาก N95 เดินขวักไขว่ นักเรียนต้องหยุดเรียนกลางคัน หรือบางคนถึงขั้นย้ายหนีไปต่างจังหวัดชั่วคราวก็มี

แต่ถึงเราจะมองเห็นข่าวฝุ่นอยู่เป็นพักๆ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าผลกระทบของ PM2.5 นั้น ร้ายแรงและเรื้อรังกว่าที่ตาเห็นมาก เพราะฝุ่นขนาดเล็กนี้สามารถแทรกซึมเข้าสู่ปอดและกระแสเลือด สะสมไปเรื่อยๆ ก่อให้เกิดทั้งโรคปอดเรื้อรัง มะเร็งปอด โรคหัวใจ และหลอดเลือดตามมาในระยะยาว รายงานจากนักวิจัยต่างชาติประเมินว่า มลพิษ PM2.5 คร่าชีวิตคนไทยถึงปีละประมาณ 71,000 คน (ตัวเลขนี้สูงเป็นอันดับ 3 ในอาเซียน รองจากอินโดนีเซียและเวียดนาม) เทียบให้เห็นภาพ ในช่วงก่อนโควิดจะระบาดหนัก ยอดตายจาก PM2.5 ในไทย มากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สะสมทั้งประเทศเสียอีก ดังนั้นจึงไม่เกินจริงนักถ้าจะเรียกฝุ่นจิ๋วนี้ว่า “ฆาตกรเงียบ” ที่แฝงตัวอยู่ในอากาศที่เราหายใจทุกวัน

ยังไม่หมดที่ร้อนและฝุ่น เดี๋ยวนี้ฤดูกาลก็ยังดูสับสนจนเราแทบเดาไม่ถูกว่าเมื่อไหร่ฝนจะตกหรือแดดจะออก ประโยคที่คนกรุงฯ บ่นกันบ่อยๆ อย่าง “ทำไมฝนชอบมาตกตอนเลิกงาน?” นั้นกลายเป็นความจริงที่มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์อยู่เบื้องหลัง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมืองที่กล่าวถึงข้างต้น ทำให้อากาศร้อนลอยตัวขึ้นดึงความชื้นตามขึ้นไปก่อตัวเป็นเมฆฝนเหนือเมือง เมื่อถึงช่วงเย็นความชื้นก็อิ่มตัวและตกลงมาเป็นฝนพรำให้เรารถติดเล่นนั่นเอง (กรมอุตุนิยมวิทยาก็ยืนยันว่าเดือนไหนอากาศร้อนจัด เดือนนั้นฝนมักจะเทช่วงเย็นเป็นพิเศษ)

ทั้งหมดนี้คือ ‘โรคประจำเมือง’ ของยุคสมัยนี้ เตรียมตัวเตรียมใจได้เลยว่าเราจะต้องเจอกับมันอีกยาวๆ แต่ทั้งนี้ไม่ได้พูดเพื่อให้เราชินชากันมัน แต่เพื่อให้เราปรับตัวดูแลตัวเอง รวมถึงช่วยกันหายารักษาโรคประจำเมืองให้เบาบางหรือหายไปในที่สุดในอนาคต

ปรับตัวอย่างไรในยุค New Normal (ที่อากาศไม่สดใส)

เมื่อวิกฤตภูมิอากาศกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน กลายมาเป็นโรคประจำเมืองเรื้อรังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้คือ การปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับมันให้ได้ดีที่สุด แน่นอนว่าระยะยาวทั้งภาครัฐและประชาคมโลกจำเป็นต้องเร่งแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง แต่ในระดับชีวิตของเรา “ความอยู่รอด” ในยุคนี้ก็ขึ้นกับการดูแลตัวเองและคนรอบข้างจากภัยภูมิอากาศเหล่านี้เช่นกัน

1. ติดตามข้อมูลและเตรียมพร้อมเสมอ: ทุกวันนี้มีแอปพลิเคชันและเว็บไซต์มากมายที่คอยรายงานดัชนีความร้อนและค่าฝุ่นแบบเรียลไทม์ เช่น Air4Thai, IQAir, กรมอุตุนิยมวิทยา เป็นต้น การเช็กข้อมูลเหล่านี้ทุกเช้าก่อนออกจากบ้านจะช่วยให้คุณวางแผนการใช้ชีวิตประจำวันได้ เช่น ถ้าวันนี้แดดแรงจัดก็อาจพกร่มหรือหาเสื้อคลุมกันแดด ถ้าฝุ่นสูงเกินมาตรฐานก็เตรียมหน้ากาก N95 ใส่ป้องกัน หรือถ้าคืนนี้มีแนวโน้มฝนตกหนักก็ตัดสินใจกลับบ้านให้เร็วกว่าปกติเพื่อเลี่ยงน้ำท่วม เป็นต้น

2. ปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย: ในเมื่อเราต้องอยู่กับอากาศที่ร้อนและมีมลพิษ การลงทุนกับที่พักอาศัยเพื่อให้ปลอดภัยขึ้นย่อมคุ้มค่า เช่น ติดตั้งม่านหรือฟิล์มกันความร้อนที่หน้าต่าง ปลูกต้นไม้เล็กๆ บนระเบียงเพื่อช่วยเพิ่มร่มเงาและความชื้นในอากาศ จัดบ้านให้มีการระบายอากาศที่ดีในช่วงกลางคืน ติดเครื่องฟอกอากาศภายในบ้านในช่วงที่ฝุ่นเยอะ รวมถึงทำมุ้งลวดกันฝุ่นเพื่อป้องกันฝุ่นเล็ดลอดเข้ามา ปัจจุบันหน่วยงานสาธารณสุขได้ติดตั้ง “ห้องปลอดฝุ่น” ตามโรงพยาบาลและสถานที่ราชการต่างๆ หลายพันแห่งทั่วประเทศเพื่อช่วยประชาชนลดการรับฝุ่น เราอาจนำแนวคิดเดียวกันมาประยุกต์ใช้กับที่บ้านเราเองได้

3. ดูแลสุขภาพกายใจของตัวเอง: พฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันสามารถช่วยให้เรารับมือกับภัยจากอากาศได้ดีขึ้น เช่น ดื่มน้ำให้เพียงพอและพกขวดน้ำติดตัวในวันอากาศร้อนจัด เพื่อป้องกันฮีทสโตรก เลี่ยงทำกิจกรรมกลางแจ้งช่วงแดดแรงหรือช่วงค่าฝุ่นพีค สวมแว่นกันแดดและทาครีมกันแดดปกป้องผิวหนัง พักผ่อนให้เพียงพอ ที่สำคัญ เมื่อรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลกับสภาพอากาศรอบตัว ควรหาเวลา “พักใจ” ให้ตัวเองผ่านกิจกรรมที่ผ่อนคลาย หรือปรึกษานักจิตวิทยาหากความเครียดสะสมจนส่งผลต่อชีวิตประจำวัน การดูแลใจให้เข้มแข็งสำคัญไม่แพ้ดูแลร่างกาย เพราะสุขภาพใจที่ดีจะช่วยให้เราฝ่าฟันวิกฤตต่างๆ ไปได้อย่างมีสติ

4. ร่วมด้วยช่วยกันในชุมชน: ปัญหาภูมิอากาศเป็นเรื่องใหญ่ แต่การปรับตัวไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง ในระดับชุมชน เมือง หรือประเทศ เราสามารถมีส่วนร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ เช่น เข้าร่วมโครงการ ปลูกต้นไม้เพิ่มร่มเงาในเขตเมือง หรือทำ Urban Greening ด้วยการปลูกไม้พุ่มบนหลังคา ระเบียง และผนังอาคารเพื่อช่วยลดอุณหภูมิในชุมชน สนับสนุนให้ย่านที่เราอยู่มี Pocket Park หรือพื้นที่สีเขียวขนาดเล็กให้คนพักผ่อน รวมถึง ชวนกันตั้งจุด Refill Station และ Repair Café เพื่อซ่อมของแทนทิ้ง ลดขยะและการใช้ทรัพยากรใหม่

นอกจากนี้ยังสามารถรวมกลุ่มกันรณรงค์ให้เขต/เทศบาลเพิ่มพื้นที่ซึมน้ำ สร้างฝายชุมชนกันน้ำท่วม หรือจัดกิจกรรม “Clean-up Day” เก็บขยะในละแวกบ้าน แบ่งปันหน้ากากอนามัยและน้ำดื่มให้คนเปราะบางในวันที่ฝุ่นหนักหรืออากาศร้อนจัด ตลอดจนสนับสนุนนโยบายภาครัฐที่มุ่งสร้างเมืองที่ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง (Urban Resilience) อย่างจริงจัง

วิกฤตภูมิอากาศอาจเป็นความท้าทายใหญ่แห่งยุคสมัย แต่ก็เป็น จุดเริ่มต้น ให้พวกเราได้ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงสู่ชีวิตวิถีใหม่ที่แม้อาจไม่สดใสนัก หากเรารู้เท่าทันภัยรอบตัวและร่วมมือกัน เราก็จะผ่านมันไปได้ วันหนึ่งข้างหน้า เมืองของเราอาจกลับมามีสภาพอากาศที่น่าอยู่ขึ้น หรืออย่างน้อยเราจะเข้มแข็งพอที่จะไม่ยอมให้ “ร้อน ฝุ่น ฝน” มาทำลายคุณภาพชีวิตของเราได้ง่ายๆ เพราะสุดท้ายแล้ววิกฤตนี้คือเรื่องของเราทุกคน ที่ต้องลงมือแก้ไปด้วยกัน


แหล่งอ้างอิง

  • World Bank
  • Work Point Today
  • The Guardian
  • Asian Journal
  • The Matter
  • BangkokBiz News
  • UNDP Thailand
  • Earth.org
  • PubMed
  • Spring News
No tags found for this post.

Credit

eci

one of the human behind environman