“เราแค่อยากบันทึกสิ่งที่มีในดอยอินทนนท์ให้คนอื่นรู้”
นี่คือหนึ่งในสิ่งที่ทั้งสามคนในวงสนทนาเล่าถึงที่มาของหนังสือสารคดีภาพเล่มนี้ เพื่อให้ภาพถ่ายช่วยบันทึกภาพความสวย วิถีชีวิต และของเหล่าสิ่งมีชีวิตในดอยอินทนนท์เอาไว้

เมื่อพูดถึง ‘ดอยอินทนนท์’ ด้วยความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 2,565 เมตรแห่งนี้ เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึงในฐานะสถานที่ธรรมชาติที่สวยงาม อากาศดี และเดินทางไปได้ไม่ยากมาก แต่นอกจากความสวยงามที่ผู้ไปเยือนอย่างเราได้รับกลับมาแล้ว ในทางธรรมชาติก็ต้องบอกว่าที่แห่งนี้นั้นมี “ความหลากหลายทางชีวภาพ” มากกว่าที่เราคิด
ที่แห่งนี้เป็นป่าต้นน้ำแห่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย เป็นต้นกำเนิดแม่น้ำปิงและแม่น้ำเจ้าพระยา
“เราได้เห็นทั้งกวางผา นกกินปลีหางยาวเขียว อ่างกาเอนซิส ชะนีมือขาว ปาดดอยอินทนนท์” คุณณรงค์ สุวรรณรงค์ หนึ่งในช่างภาพสัตว์ป่าที่เป็นผู้บันทึกภาพในหนังสือเล่มนี้เล่าภาพที่เขาพบเจอ

ภาพถ่ายในนิทรรศการ “ลมหายใจในป่าเมฆ ดอยอินทนนท์” (The Breath of the Cloud Forest) บริเวณผนังโค้ง ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ที่จัดขึ้นช่วงนี้ – 16 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือภาพถ่าย “ลมหายใจในป่าเมฆ ดอยอินทนนท์” ที่ถ่ายทอดคุณค่าและความสวยงามของป่าต้นน้ำดอยอินทนนท์ ด้วยเป้าหมายที่อยากสื่อสารว่า พื้นที่ธรรมชาติบนโลกนี้ควรต้องเป็นพื้นที่ที่ ‘คนอยู่ได้ ป่าอยู่ได้ และสัตว์ป่าอยู่ได้’
โดยหนังสือสารคดีภาพถ่ายนี้จัดทำขึ้นโดย EGCO Group โดย มูลนิธิไทยรักษ์ป่า ร่วมกับ 2 ช่างภาพแนวหน้าคือ ณรงค์ สุวรรณรงค์ และ ธเนศ งามสม ที่ตั้งใจจะถ่ายทอดคุณค่าแห่งธรรมชาติให้ผู้คนหันมาเห็นคุณค่าและอยากรักษาธรรมชาติมากขึ้น
มากกว่าความสวยงามคือการได้เห็นการเติบโต-ชีวิตของสัตว์ป่า
ช่างภาพทั้งสองคนได้ใช้เวลาคลุกคลีพื้นที่แห่งนี้กว่า 2 ปี ซึ่งก็เป็นเวลามากพอที่จะทำให้เห็น ‘ชีวิต’ ของเหล่าสัตว์ในป่าเมฆ นิทรรศการนี้ทำให้เราได้เห็นการเติบโตและความเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ในดอยอินทนนท์ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถเข้าถึงได้จากการไปเยือนดอยอินทนนท์เพียงครั้งคราว หรือไม่ใช่ทุกโอกาสที่ทุกคนจะเห็นแบบนี้ได้
นางเอกหนึ่งของหนังสือภาพสารคดีเล่มนี้คือ ‘กวางผา’ ที่เขาหายไปข้างหนึ่งจนคนแซววว่าเป็นยูนิคอร์นแห่งอินทนนท์ หนึ่งในช่างภาพเล่าว่า ความสวยงามหนึ่งคือการที่เขาได้เห็นลูกน้อยกวางผาค่อย ๆ เติบโต จากตัวเล็ก ขนฟู จนเติบใหญ่ขึ้น และมันก็เป็นความหวังที่พวกเราจะได้เห็นจำนวนเพิ่มขึ้น

“ตอนนั้นอากาศหนาว แต่ในใจผมอุ่นมากที่ได้เห็นภาพนั้น”
“ภาพหนึ่งที่เราเขียนไว้ว่าอยากได้คือกวางผาลูกกินนมแม่ แต่เป็นได้แค่จินตนาการ แค่เอาให้เจอกวางผาใกล้ ๆ ก็เป็นเรื่องยากแล้ว จนต้นฤดูร้อนปีแรก วันที่ 17 มีนา ตอนนั้นอากาศหนาวมาก แต่ในใจอุ่นมากที่ได้เห็นภาพนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นเขาออกมาอยู่บนหน้าผาที่ชันมาก” คุณธเนศ งามสม หนึ่งในช่างภาพจากหนังสือเล่มนี้เล่าให้ฟัง
“เราใช้เวลากันอยู่สองปี ก่อนอื่นก็ต้องระดมข้อมูล เล่าตามตรงก็ต้องบอกว่าในพื้นที่ยังไม่มีฐานข้อมูลหลัก เราต้องไปตามเก็บข้อมูลว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง ช่วง 3 เดือนแรกจะเป็นการเซอร์เวย์ แต่ก็หลังจากนั้น พอผ่านไปหกเดือนก็ยังไม่มีรูปที่เรารู้สึกว่าใช้ได้ ก็เลยขอว่าต้องเพิ่มเป็นสองปี” คุณณรงค์เล่า
ด้าน คุณมานนีย์ พาทยาชีวะ จากมูลนิธิไทยรักษ์ป่า เองก็เล่าในวงเสนาว่า หนังสือภาพถ่ายเล่มนี้เกิดขึ้นจากการรร่วมมือกันของหลายฝ่าย แม้ต้นทุนในการเริ่มทำหนังสือเล่มนี้จะใช้งบประมาณจำนวนหนึ่งเลย แต่สุดท้ายแล้วมูลนิธิไทยรักษ์ป่าก็มองว่ามันคุ้มค่ามาก ๆ กับคุณค่าที่ได้รับกลับมา และยังดีใจมาก ๆ ที่หนังสือเล่มนี้จะสื่อสารให้ทุกคน ไม่ว่าจะกลุ่มคนแนวสีเขียวเข้ม หรือเขียวบางๆ ให้เขาค่อย ๆ เขียวมากขึ้น มันก็คุ้มค่า และสมเจตนา

“ความสวยงามจะทำให้คนหลงรัก แต่คุณค่าจะทำให้คนอยากรักษา”
คุณณรงค์เล่าว่า เมื่อก่อนในภาพจำนั้นก็จะเห็นดอยอินทนนท์เป็นสวรรค์ของคนดูนก แต่จากการลงพื้นที่ไปครั้งนี้คือ ถ่ายนกได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น และตัดมาอีกปีตรง ตรงพื้นที่ด่านสองก็ไม่มีเลย แสดงให้เห็นว่าหลายชนิดเมื่อก่อนนั้นหาเจอได้ง่ายกว่านี้มาก แต่ตอนนี้กลับเป็นเรื่องที่ยาก
“เราอยู่มานานจนเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งทรัพยาการ สัตว์ พืชจำนวนที่หายไป ซึ่งมันก็น่าจะดีถ้าเราได้บันทึกก่อนที่มันจะลดน้อยลง อย่างน้อย ๆ ก็ความทรงจำและการบันทึกช่วงเวลาของการมีอยู่”

ก่อนจบวงสนทนานี้ไป คุณมานนีย์ ยังแชร์ถึงหนึ่งในสิ่งที่สำคัญถึงการดูแลที่ยั่งยืนคือการให้คนในพื้นที่ เยาวชนในพื้นที่มีส่วนในการได้ร่วมอนุรักษ์ธรรมชาติ ๆ จริง ๆ
ดังนั้นแล้ว ใจความสำคัญหนึ่งที่หนังสือสารคดีภาพนี้อยากส่งต่อคือความงดงามของธรรมชาติที่ควรค่าแก่การรักษาไว้ ซึ่งมนุษย์เรานี่แหละที่จะเป็นคนที่ช่วยรักษาความสวยงามเหล่านั้นเอาไว้ได้
สำหรับในมุมนักท่องเที่ยวเอง ใครที่มีโอกาสได้ไปเยือนดอยอินทนนท์หรือพื้นที่ธรรมชาติแห่งไหนก็ตาม อย่าลืมที่จะเที่ยวอย่างรู้จักคุณค่า ไม่ทำลาย ไม่สร้างผลกระทบกับระบบนิเวศบนนั้น เหมือนกับความพูดที่ว่า Leave nothing but footprints, take nothing but photos
“ใช้เวลาให้นานขึ้น เดินให้ช้าลง มองสองข้างทางให้มากขึ้น มองดูว่าข้างทางมีอะไรผลิบาน มีอะไรใช้ชีวิตอยู่บ้าง เราเชื่อว่าธรรมชาติที่สวยงามมันจะสอนเราเอง”
คุณธเนศทิ้งท้าย