เปิดปี 2568 ด้วยฝุ่น PM 2.5 นับตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยเกิดปรากฏการณ์ฝุ่นปกคลุมอย่างหนาแน่น จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้คนไทยหลายคนได้รู้จักกับฝุ่น PM 2.5 เป็นครั้งแรก เป็นเวลากว่า 6 ปี ที่คนไทยต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มาปรากฏในทุกต้นปี
แต่คนไทยอาจใช้ชีวิตอยู่กับฝุ่นมานานกว่าที่คิด
หากอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) หลังใช้ดาวเทียมระบบ MODIS ติดตามและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่นในไทย พบว่าไทยเผชิญหน้ากับฝุ่นละอองขนาดเล็กมานานกว่า 20 ปี ยิ่งในแถบภาคเหนืออย่าง น่าน พะเยา เชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน มีค่าฝุ่น PM2.5 สูงเกินมาตรฐานติดต่อนานหลายปี โดยเฉพาะช่วงมกราคม – มีนาคมของทุกปี จะเป็นช่วงที่สถานการณ์ฝุ่นมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก
ทำไมทุกต้นปี ฝุ่นถึงกลับมาเยือน ?
ฝุ่นเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนผ่านฤดู สำหรับประเทศไทย ช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากฤดูหนาวสู่ฤดูร้อน จึงมักพบเจอกับฝุ่น หมอก และควัน อยู่เป็นประจำ เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูง หรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนที่แผ่ลงมาปกคลุมมีกำลังอ่อนลง ส่งผลให้มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังอ่อนลงตาม ผนวกกับการผกผันกลับของอุณหภูมิในระดับล่าง ทำให้ระดับเพดานการลอยตัวและการกระจายตัวของฝุ่นละอองอยู่ในระดับต่ำ การไหลเวียนของอากาศไม่ดี จึงเกิดการสะสมของฝุ่นละออง หมอก และควัน ในชั้นบรรยากาศจำนวนมาก
อย่างไรก็ดี ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านฤดูกาล เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิด ‘การสะสม’ ของฝุ่นได้ แต่ไม่ใช่ต้นตอที่แท้จริงของ ‘การเกิด’ ฝุ่น PM 2.5
ข้อมูลจาก SDG Move และกระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่า ต้นตอของปัญหามลพิษทางอากาศอย่างฝุ่น PM 2.5 ในแต่ละพื้นที่ของไทยไม่เหมือนกัน
ภาคเหนือ : พบว่าประมาณ 70% ของฝุ่น PM 2.5 มีสาเหตุมาจากการเผาป่า
ภาคอีสาน : พบว่าประมาณ 70% ของฝุ่น PM 2.5 มีสาเหตุมาจากการเผาทางการเกษตร
กรุงเทพและปริมณฑล : พบว่าประมาณ 60% ของฝุ่น PM 2.5 มีสาเหตุมาจากการจราจร การเผาไหม้ของท่อไอเสีย
นอกจากนี้ กรมควบคุมมลพิษยังพบว่าปัญหาฝุ่นควันทางภาคเหนือและพื้นที่ตอนบนของไทย ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ คือ ฝุ่นควันข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีสาเหตุมาจากการเผาทางการเกษตรและไฟป่า เมื่อช่วงมีนาคม พ.ศ. 2565 ข้อมูลจากดาวเทียมซูโอมิ เอ็นพีพี พบจุดความร้อนในเมียนมามากถึง 6,877 จุด มากกว่าจุดความร้อนที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเกือบ 1,500
แต่ไทยอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับจุดความร้อนในเมียนมา
กรีนพีซ ประเทศไทย ร่วมกับ ศูนย์ภูมิภาคเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (ภาคเหนือ) คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ศึกษาแผนการกระจายตัวของมลพิษทางอากาศจากหมอกควันข้ามแดน พบพื้นที่ป่า 10.6 ล้านไร่ ในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงกลายเป็นไร่ปลูกข้าวโพดสำหรับเลี้ยงสัตว์ และเป็นที่มาของจุดความร้อนในเมียนมาและลาว มีสัดส่วนคิดเป็น 1 ใน 3 ของจุดความร้อนทั้งหมด
อีกทั้ง กรีนพีซยังพบความเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการจากไทยกับธุรกิจเมล็ดพันธ์ุข้าวโพดในเมียนมา โดยจำนวน 60-70% ของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดในเมียนมา ถูกจัดจำหน่ายโดยบริษัท Myanmar CP Livestork ซึ่งเป็น 1 ในเครือบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ของไทยที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในต่างประเทศ ขณะเดียวกันยังพบข้อมูลเชิงสถิติที่ระบุว่า จำนวนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ที่ทำแผนศึกษาข้างต้น เพิ่มสูงขึ้น 3 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
คนไทยในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน รวมไปถึงภาคกลางตอนบน จึงอาจได้รับผลกระทบจากฝุ่นควันที่ลอยข้ามมาจากเพื่อนบ้านได้ ยิ่งมาสะสมรวมกับฝุ่นควันที่เกิดในพื้นที่ของไทยอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งสร้างผลกระทบให้กับประชาชนอย่างคาดไม่ถึง
คนไทยสูดฝุ่นมากกว่าอากาศ
ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2566 พบคนไทยจำนวนกว่า 10.5 ล้านคน ประสบปัญหาสุขภาพที่มีสาเหตุมาจากมลพิษทางอากาศเพิ่มขึ้นจากปี 2565 มากถึง 116% โดยพบคนไทยที่ป่วยทั้งโรคมะเร็งปอด หลอดลมอักเสบ โรคหอบหืด และโรคหัวใจ
ขณะเดียวกัน การใช้ชีวิตท่ามกลางฝุ่นพิษในแต่ละวันไม่ต่างอะไรกับการสูบบุหรี่ทุกวัน นพ. รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ แพทย์เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เผยว่า
“คนเชียงใหม่กำลังสูบบุหรี่วันละ 5 มวน”
บทสัมภาษณ์จากบทความข่าวของ BBC ในช่วงสถานการณ์ที่เชียงใหม่กำลังประสบภัยฝุ่นพิษช่วงต้นปี ที่พยายามเปรียบเทียบความรุนแรงผลกระทบด้านสุขภาพของคนไทยให้เห็นภาพอย่างชัดเจน
ไม่ใช่แค่ผลกระทบกับคน แต่สัตว์ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน พบว่า สัตว์เลี้ยงที่ถูกเลี้ยงในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นสูง มีความเสี่ยงป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจมากขึ้น
ขณะที่ ข้อมูลจากภาคฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เปิดเผยว่าจำนวนฝุ่นที่สะสมอยู่บนชั้นบรรยากาศ มีผลต่อค่าความเข้มข้นของแสงอาทิตย์ ยิ่งฝุ่นมากยิ่งทำให้ค่าความเข้มข้นแสงลดน้อยลง ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพันธุ์พืชต่าง ๆ ผลวิจัยระบุว่า หากอนาคตค่าแสงอาทิตย์ลดลง 5 – 6% อาจทำให้นาข้าวไม่ออกรวงได้ โดยเฉพาะ ข้าวหอมมะลิ ที่เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ
ชวนจับตา พ.ร.บ. อากาศสะอาด ของขวัญที่คนไทยควรได้รับ
หากต้องต้อนรับปีใหม่ด้วยฝุ่นพิษ คงเป็นการเริ่มปีใหม่ที่ไม่ดีนัก
ปัจจุบัน ร่าง พระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด (ร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด) ทั้ง 7 ฉบับ ที่ถูกนำเสนอโดยพรรคการเมืองและภาคประชาชน กำลังอยู่ในขั้นตอนจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อพิจารณาในวาระที่ 2 หลังผ่านมติในวาระแรกไปเมื่อ 17 ม.ค. 67
พ.ร.บ. อากาศสะอาด เป็นความหวังสำคัญในการแก้ไขปัญหาด้านมลพิษทางอากาศของไทย เพราะเป็นร่างกฎหมายที่กำหนดวิธีจัดการกับปัญหามลพิษอย่างชัดเจน เช่น จัดเก็บภาษีเพื่ออากาศสะอาด จัดสรรเจ้าหน้าที่พนักงานเพื่ออากาศสะอาด สำหรับมอบอำนาจออกคำสั่งให้เจ้าของธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องสร้างมลพิษทางอากาศ ต้องจัดส่งข้อมูลการปล่อยมลพิษให้กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงมาตรการเฝ้าระวังคุณภาพอากาศต่าง ๆ ผ่านแผนพัฒนาระบบฐานข้อมูลคุณภาพอากาศ
นอกจากนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าว ยังกำหนดโทษอย่างชัดเจน ตั้งแต่โทษปรับจนถึงโทษจำคุก เพื่อสร้างบรรทัดฐานให้กับผู้สร้างมลพิษจะต้องรับผิดชอบในการกระทำของตนเองต่อสังคม
อย่างไรก็ตาม แม้ร่างกฎหมายดังกล่าวจะมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาฝุ่นควันภายในประเทศ แต่ก็ต้องทำงานควบคู่ไปกับส่วนอื่น ๆ ทั้งภาคการเกษตรที่จะต้องมีแผนปรับรูปแบบปลูกไร่และสวน เพื่อลดฝุ่นควันจากการเผาไหม้ กฎหมายจราจรที่จะต้องเข้มงวดกับผู้ขับขี่ยานพาหนะที่เชื้อเพลิงเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ และความร่วมมือกันระหว่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดน
อากาศที่สะอาด เป็นสิทธิพื้นฐานในการใช้ชีวิตของประชาชน ทุกคนควรได้สูดอากาศสะอาดเป็นของขวัญตลอดปี
อ้างอิง
https://www.bbc.com/thai/articles/c723508nx22o
https://www.chula.ac.th/wp-content/uploads/2019/10/Chula-PM25.pdf
https://www.gistda.or.th/news_view.php?n_id=2256&lang=TH
https://workpointtoday.com/why-we-have-pm-25-in-thailand/