โลกจะเป็นอย่างไรในอีก 30 ปีข้างหน้าหากเรายังไม่หยุดทำลายธรรมชาติ? วิกฤตสภาพอากาศ การใช้ทรัพยากรที่มากเกินไป มลพิษ และการเห็นแก่ผลประโยชน์ ทั้งหมดนี้อาจทำให้ระบบนิเวศที่สำคัญของโลกพังทลายลงจนไม่สามารถค้ำจุนชีวิตที่สดใส ซึ่งมีอยู่เพียงแห่งเดียวในจักรวาลเท่าที่เรารู้ในตอนนี้ให้มีชีวิตต่อไปได้
“ผมรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องคอยเห็นการทำลายระบบนิเวศทางธรรมชาติอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในประเทศบ้านเกิดของผม ซึ่งก็คือบราซิล” Alexandre Antonelli ผู้อำนวยการฝ่ายวิทยาศาสตร์ของสวนพฤกษศาสตร์ รอยัล โบทานิค การ์เดน กล่าว “ตั้งแต่ป่าฝนแอมะซอนและแอตแลนติก ไปจนถึงป่าไม้เซอร์ราโด ต้นไม้ที่เป็นที่อยู่ของแมลงและกล้วยไม้มากมาย”
“ดินที่เต็มไปด้วยจุลินทรีย์และเชื้อรา พร้อมกับที่ดินที่เสือจาร์กัวกับนกทูแคนอาศัยอยู่มาอย่างยาวนานนับพันปีกำลังสูญหายไปอย่างโหดร้าย” Antonelli กล่าวเสริม “ปัจจัยที่ทำให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพนั้นมีอยู่จริง และมันก็พร้อมให้ทุกคนได้เห็น วิทยาศาสตร์เสนอการแก้ไขที่ทรงพลัง แต่เวลาของเรากำลังจะหมดลง”
หากเรามองไปรอบ ๆ ตัวของเราทุกวันนี้ คงไม่เป็นการยากที่จะบอกว่าโลกนั้นกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อากาศที่เคยหนาวเย็นในช่วงปลายเดือนกันยายนจนถึงมกราคม ที่ทำให้ชาวภาคเหนือต้องห่มผ้ากัน 2 ชั้นเหมือนเมื่อ 20 ปีที่แล้วไม่มีอยู่อีกต่อไป
ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ร้อน ร้อนมาก และร้อนมากที่สุดซึ่งมาพร้อมกับฝุ่น PM2.5 ที่ค่อย ๆ บ่อนทำลายสุขภาพโดยที่เราไม่รู้ตัว ไม่เพียงเท่านั้น ทะเลที่เคยสดใสหลายแห่งกลับมีแต่ชายหาดที่เต็มไปด้วยขยะพลาสติกจำนวนมาก อีกทั้งเสียงของเหล่าสัตว์ก็เริ่มจางหายลงไป ความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นหากเราสังเกตสักนิดก็จะรับรู้ได้ไม่ยาก
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การทำลายธรรมชาติอย่างต่อเนื่องทั่วโลกจะส่งผลให้เกิดการ ‘ช็อก’ ครั้งใหญ่ต่อแหล่งน้ำสะอาดปลอดภัยและแหล่งอาหารที่สำคัญของมนุษยชาติ ซึ่งเกิดจากการสูญพันธุ์ของชีวิตที่มีเอกลักษณ์ในท้องถิ่นพังทลายล้มลงเป็นโดมิโน่
หากเรายังไม่มีการดำเนินการใด ๆ เพื่อยับยั้งผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ภายในปี 2050 โลกอาจเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นสิ่งที่เราไม่คุ้นเคยอีกต่อไป นี่คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ ผู้นำท้องถิ่น กับนักอนุรักษ์ทั่วโลกพยายามบอกมานานนับสิบปีแล้ว และ ‘เวลานั้นกำลังจะหมดลง’
คำเดียว ‘ทะเลทราย’
Sandra Myrna Díaz นักชีววิทยาชาวอาร์เจนติน่าซึ่งเป็นประธานร่วมในการประเมิน IPBES ซึ่งเป็นแบบประเมินความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศระดับโลก ได้กล่าวเอาไว้ว่า “ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ปัจจัยที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่สุดของความหลากหลายทางชีวภาพที่ลดลงคือ การเปลี่ยนแปลงที่ดิน”
นักวิทยาศาสตร์ประเมินไว้ว่า มนุษยชาติได้เคลียร์พื้นที่โลกไปแล้วประมาณ 1 ใน 3 ของผืนป่าทั้งหมด เพื่อเปลี่ยนมันเป็นพื้นที่เพาะปลูกในช่วง 10,000 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เกิดการทำลายระบบนิเวศที่สำคัญเช่น ป่าฝนเขตร้อนซึ่งหนึ่งในป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก จนเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ
“หากแนวโน้มเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไปในทศวรรษหน้า สุขภาพของดินก็มีแนวโน้มที่จะเสื่อมลงอีก” Myrna Díaz กล่าวต่อ ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้ภูมิประเทศในหลายภูมิภาคมีความเสื่อมโทรลง พร้อมกับแห้งแล้งขึ้น ดินที่เคยมีสารอาหารอันอุดมสมบูรณ์ถูกรีดออกไปเหลือแค่ดินเปล่า ๆ
สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถรองรับพืชพรรณได้อีกต่อไป จากระบบนิเวศที่เคยเป็นป่าใหญ่กลับกลายเป็นพื้นที่รกร้างอันว่างเปล่า แล้วท้ายที่จะเมื่อเวลาผ่านไปมันจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็น ‘ทะลทราย’ ที่ขยายตัวขึ้น น่าเศร้าที่ดูเหมือนว่าเราทุกคนกำลังทำให้โลกเดินไปในทางนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
“หากเราไม่ดำเนินการที่จำเป็น เพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายไว้ อนาคตของโลกและของมนุษย์โลกจะสามารถอธิบายได้เป็นคำเดียวว่า ‘ทะเลทราย’” Cristiane Julião จากชนเผ่า Pankararu พื้นเมืองในแอมะซอนของบราซิล กล่าว
“ป่าแอมะซอนในบราซิลที่ที่ผู้คนของผมอาศัยอยู่จะกลายเป็นทะเลทราย หากระบบเศรษฐกิจโลกยังคงให้ความสำคัญกับการแสวงหาผลประโยชน์และผลกำไรจากสุขภาพของโลกและผู้คนของเรา หากเราไม่เปลี่ยนแนวทางการพัฒนาในปัจจุบัน ความรู้ การปฏิบัติ และสัตว์ พืช กับสภาพอากาศที่เราต้องพึ่งพานั้นจะสิ้นสุดลง” Julião กล่าวต่อ
เรายังคงมีเวลา ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่าด้วยกฎหมายที่เข้มงวด และสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน อาจทำให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นลดน้อยลง สิ่งสำคัญคือเราต้องร่วมมือกัน
สายพันธุ์เอเลี่ยนรุกรานดาหน้ากันเข้ามา
เมื่อช่วงเดือนกันยายนปี 2023 ที่ผ่านมา สหประชาชาติได้เผยแพร่การประเมินที่มาจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งระบุเอาไว้ว่า สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์รุกรานกำลังกลายเป็นปัญหาทั่วโลก ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท และมีแนวโน้มว่าจะเลวร้ายลงหากไม่มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน
นักวิทยาศาสตร์ได้บันทึกสายพันธุ์ที่รุกรานซึ่งเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศท้องถิ่นไว้แล้วอย่างน้อย 3,500 ชนิดทั่วโลก พวกมันแพร่กระจายผ่านการเดินทางและการค้าขายของมนุษย์ ซึ่งกำลังมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากมนุษย์นับแสนคนต้องออกจากบ้านของตัวเองเพื่อหนีไฟป่า หรือไม่ก็ระดับน้ำทะเลที่กำลังสูงขึ้น
“หากไม่มีการจัดการใด ๆ (ระบบนิเวศท้องถิ่น) จะสูญเสียเอกลักษณ์ทางนิเวศวิทยา และจะไม่มีความเหมาะสมต่อธรรมชาติกับผู้คน” Aníbal Pauchard ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ป่าไม้แห่งมหาวิทยาลัย Concepción ในชิลี และผู้ช่วยเป็นผู้นำการประเมินของผู้เชี่ยวชาญของ UN กล่าว
ทีมวิจัยประเมินว่า 1 ใน 4 ของความหลากหลายทางชีวภาพที่พบในชิลี ไม่มีในที่อื่นใดในโลกอีกแล้ว ดังนั้นสายพันธุ์รุกรานจึงมีความอันตรายอย่างยิ่ง และตอนนี้มันก็ทำให้สายพันธุ์เฉพาะถิ่นในชิลีเริ่มลดจำนวนลงแล้วจนถึงระดับใกล้สูญพันธุ์
ไม่เพียงเท่านั้น สภาพอากาศที่อบอุ่นก็ยังส่งเสริมให้สัตว์อย่างยุง ซึ่งก่อโรคในมนุษย์แพร่กระจายไปมากยิ่งขึ้น หากลองสังเกตดูในช่วงที่ฤดูหนาวอากาศหนาวนั้นจะไม่มียุงมาก่อกวน แต่เมื่ออากาศร้อนขึ้น ยุงก็สามารถระบาดได้ไกลขึ้น นี่เป็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในยุโรป ซึ่งหลายประเทศไม่เคยพบยุงมากขนาดนี้มาก่อน แต่ปัจจุบันแทบจะเจอยุงเป็นเรื่องปกติ
“หญ้าสายพันธุ์รุกรานจะยังคงมีส่วนทำให้เกิดไฟป่าและการเผาไหม้ง่ายขึ้น สัตว์ที่รุกรานชายฝั่งก็จะคุกคามการประมงต่อไป” ศาสตราจารย์ Peter Stoett ผู้ร่วมเป็นประธานการประเมินของสหประชาชาติเกี่ยวกับสายพันธุ์ที่รุกราน เตือน
“การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศน่าจะขยายขอบเขตของหอยและผู้บุกรุกรายอื่น ๆ ในเกรทเลกส์ (Great lake) ด้วยเช่นกัน ซึ่งสร้างความกังวลเป็นพิเศษว่าจะคุกคามความเปราะบางของอาร์กติก” ศาสตราจารย์ Stoett กล่าว
หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นักวิทยาศาสตร์คาดการว่า เฉพาะในยุโปร สายพันธุ์รุกรานจะเพิ่มจำนวนขึ้น 2 เท่าภายในปี 2050
น้ำบาดาลที่จะไม่สะอาดอีกต่อไป
การสะสมของพลาสติก สารเคมี ยาฆ่าแมลง และปุ๋ยในระบบนิเวศ กำลังค่อย ๆ ซึมเข้าไปยังใต้ดิน และท้ายที่สุดแล้วมันจะเข้าไปในน้ำบาดาล แหล่งน้ำที่หลายพันล้านคนทั่วโลกใชอยู่ James Dalton ผู้อำนวยการโครงการน้ำระดับโลกของ IUCN (องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ) ได้กล่าวเอาไว้ว่า
“น้ำที่เราใช้ ซึ่งเราสร้างมลพิษให้กับมัน และมลพิษเหล่านั้นบางส่วนก็ขึ้นกลับมาสู่พื้นดิน จากนั้นก็ค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในแหล่งน้ำในอนาคตของเรา ซึ่งบางอย่างก็อยู่ถาวร” เขา กล่าว “ในสหรัฐอเมริกา พวกเขามีน้ำใต้ดินที่ปนเปื้อนซึ่งไม่สามารถทำความสะอาดได้อีกต่อไป”
มีการประเมินกันว่าไมโครพลาสติกกว่า 170 ล้านล้านอนุภาคแพร่กระจายไปทั่วโลก ซึ่งจะเพิ่มขึ้นอีก 4 เท่าภายในปี 2050 ดังนั้นจึงคิดได้ไม่ยากว่าน้ำบาดาลเป็นหนึ่งในแหล่งที่ถูกปนเปื้อนอย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้น Federico Maggi จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์กล่าว กล่าวว่าโลกใช้ยาฆ่าแมลง 3 ล้านตันทุกปีเพื่อควบคุมพืช เชื้อรา และแบคทีเรีย
แม้ 82% ของสารเคมีเหล่านั้นจะย่อยสลายทางชีวภาพ แต่ 10% จะอยู่ในดิน และอีก 8% ที่เหลือจะลงไปยังชั้นหินอุ้มน้ำ แม้จะฟังดูเป็นตัวเลขไม่มาก แต่ 8% ของ 3 ล้านตันนั้นมากโขอยู่ มลพิษทั้งหมดนี้ “ลดความหลากหลายทางชีวภาพ ไม่ว่ามันจะไปที่ใดก็ตาม มันลดจำนวนไส้เดือน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ แมลงผสมเกสร และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เป้าหมาย(ของยาฆ่าแมลง)” Maggi บอก
ระบบนิเวศในน้ำที่สูญหาย
การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและมลพิษต่าง ๆ ไม่ได้คุกคามแค่ชีวิตบนดิน แต่รวมถึงในน้ำด้วยเช่นกัน ซึ่งมันกำลังสร้างปัญหาโดยตรง นกทะเลตายเพราะไมโครพลาสติกมากขึ้น และต้องดิ้นรนท่ามกลางอาหารทะเลที่น้อยลงเพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้น
เช่นกัน ภาวะโลกร้อนก็ได้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ยืนยันทั่วโลกแล้วว่าเป็นหนึ่งในครั้งที่รุนแรงที่สุด ปะการังเหล่านี้เปรียบเสมือน ‘ป่าฝน’ บนพื้นดิน มันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำนานาชนิด ซึ่งคอยค้ำจุนความอุดมสมบูรณ์ของชีวิตในทะเล
การสูญเสียแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้สัตว์ต่าง ๆ ตายลงไปตาม ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังความมั่นคงทางอาหารของมนุษย์
“อุณหภูมิที่สูงขึ้น ความแห้งแล้งที่ยืดเยื้อยาวนาน และเหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง ได้เปลี่ยนแปลงแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นที่ที่ชีวิตหลายชนิดเติบโต โดยสร้างผลกระทบด้านลบต่อผลผลิตและความมั่นคงทางอาหาร” Juan Lucas Restrepo ผู้อำนวยการทั่วไปของ Alliance of Bioversity International กล่าว
“นี่เป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแดวล้อม สังคม และเศรษฐกิจในภูมิกาค หากแนวโน้มนี้ยังคงอยู่ มันจะจำกัดความพร้อมของอาหาร และทำให้ราคาอาหารสูงขึ้นส่งผลให้เกิดภาวะโภชนาการไม่เพียงพอเพิ่มขึ้น”
ความร่วมมือคือกุญแจสำคัญ
“ความร่วมมือระดับโลกเป็นสิ่งสำคัญ” Surangel Whipps Jr จากประเทศปาเลาในมหาสมุทรแปซิฟิกและประธานร่วมของคณะกรรมการระดับสูงเพื่อเศรษฐกิจมหาสมุทรที่ยั่งยืนกล่าว “มาตรการความยั่งยืนภายในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของเราเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรับประกันความสามารถของโลกในการจัดหาอาหาร อากาศ และน้ำได้”
การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและภาวะโลกร้อนกำลังแยกเราเป็นเสี่ยง ๆ ซึ่งสร้างความตึงเครียดในระดับนานาชาติ ราวกับรูปปั้นที่เกิดรอยร้าวและพร้อมที่จะแตกออกหากมีใครสักคนมาสะกิด แต่ผู็เชี่ยวชาญเชื่อว่า เราทุกคนสามารถผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ด้วยกัน เพียงแค่เราร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหา
สิ่งที่เราทำเล็กน้อย ๆ ที่อาจดูไม่ได้ส่งผลอะไรเช่นการ ‘ไม่เทรวม’ หรือการแยกขยะให้ถูกต้องก่อนทิ้ง แต่รู้หรือไม่ว่าพฤติกรรมนี้ช่วยส่งเสริมการรีไซเคิลให้มากขึ้น ลดมลพิษ และช่วยสนับสนุนให้เกิดการกำจัดอย่างถูกวิธี ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว เราสามารถเปลี่ยนแปลงผลกระทบที่เกิดขึ้นได้
“หากเราไม่ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพในตอนนี้เพื่อปกป้อง และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ” Unai Pascual จากศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศบาสก์กล่าว “เราอาจจะได้เห็นความทุกข์ทรมานของมนุษย์ที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะชาวเมืองที่เปราะบางที่สุดในโลก”
หากโลกเป็นสถานที่ที่สวยงาม เป็นบ้านของคนที่เรารัก และเป็นที่ที่ทำให้เราสามารถสร้างความฝันให้เป็นจริงได้ เราหวังว่าผู้อ่านจะร่วมมือกับเรา เพื่อรักษาโลกใบนี้ให้หมุนต่อไปอย่างสวยงามในแบบที่มันเป็น
ข้อมูลจาก